ของเล่น |เรื่องราวที่ไม่อยากนึกถึง บทที่ 1

hiro2

hiro3

ตัวละครรับเชิญ> จิสึมิ

ตัวละคร ฮิโระอาคิ

.

.

.

“ส่วนตัวข้าก็ไม่ได้มองว่ามนุษย์เป็นของเล่นหรอกนะ แต่กับคนบางประเภทก็ไม่ควรมองเป็นสิ่งมีชีวิตด้วยซ้ำ”

หลังจากคุยกับปีศาจแมวนามจิสึมิก็ทำให้ฮิโระอาคิพาลนึกถึงเรื่องเก่าๆ

เรื่องเก่าๆที่เขาไม่เคยพูดถึงมาก่อน

ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยกับนิสัยที่ดูเฉื่อยชาจนใครหลายๆคนชอบทักว่านิสัยกับรูปลักษณ์นั้นช่างขัดกันโดยสิ้นเชิง แต่เมื่อทราบถึงอายุของเขาก็เห็นว่าสมเหตุสมผลดี

และโดยปกติเขาจะเป็นพวกค่อนข้างตามน้ำและพยายามไม่พูดอะไรที่ขัดหูอีกฝ่ายโดยไม่จำเป็น จึงมีน้อยคนนักที่จะรู้เรื่องราวของเขา “เรื่องของตัวเองที่ไม่ได้ทำให้คู่สนทนารู้สึกดีก็ไม่จำเป็นต้องพูด” นี่เป็นคติที่เขาใช้มาตลอดตั้งแต่ยังหนุ่มจนถึงตอนนี้ แต่เพราะคตินี้เองจึงเป็นเหตุให้ตัวเขาตั้งแต่เมื่อก่อนเป็นที่ถูกอกถูกใจของเหล่าสตรีผู้ชื่นชอบการถูกเอาอกเอาใจและคำพูดรื่นหู

เขาค่อนข้างจะเกรงใจคู่สนทนาถ้าอีกฝ่ายไม่ทำให้รู้สึกตนเองถูกระรานก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสตรีเพศ เขาจะค่อนข้างตามใจเจ้าหล่อนไม่ใช่เพียงเพราะเหตุผลที่ว่า สตรีเป็นเพศที่ถ้าทำให้ขัดใจจะยากที่จะรับมือ แต่มีอีกเหตุผลส่วนตัวที่ฝังใจเขามาตั้งแต่เด็กอีกด้วย…


ย้อนกลับไป 600กว่าปีก่อน ราวปี ค.ศ.14** บนเกาะอาโอโมริ

ผู้คนอาศัยอยู่กันอย่างเรียบง่าย ฝั่งโยวไคก็เช่นกัน

โยวไคในสายตาของมนุษย์ก็จัดเป็นพวกภูติผีสิ่งประหลาด สิ่งน่าเกลียดน่ากลัว เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงไม่ก็ต้องกำจัดให้รู้สึกปลอดภัย ดังนั้นการหลีกเลี่ยงการปะทะจึงจัดเป็นทางเลือกที่ดีของเหล่าโยวไค

แต่ก็ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนจะเกลียดชังโยวไคเสียซะหมด ก็ยังมีคนบางพวกที่มีความสามารถในการมองเห็นและการสื่อสารกับเหล่าวิญญาณเหล่านี้ได้และยอมรับการมีอยู่โดยไม่รังเกียจอยู่บ้าง

มีสตรีนามว่า อิซามุ มิโคโตะ เป็นสาววัยแรกรุ่นอายุเพียง 19 ปีและเป็นภรรยาของซามูไรหางแถวที่คอยไล่เก็บภาษีจากเหล่าชาวไร่ชาวนาซึ่งเป็นที่ไม่ชอบหน้าของเหล่าชาวบ้านนัก แต่ด้วยความโอ้อวดไม่รู้จักของเขาประกอบกับเงินทองที่มีอยู่ประมาณนึงซึ่งถือว่ามากสำหรับคนในย่านนั้นก็ทำให้ซามูไรผู้นั้นไปติดพันกับเหล่าสตรีมากมายอีกทั้งสตรีเหล่านั้นยังคล้อยตามอีกด้วย

แม้ว่าตัวซามูไรผู้เป็นสามีจะถูกเกลียดชังโดยเหล่าชาวบ้าน แต่ทางฝั่งของภรรยากลับได้รับความเอ็นดูจากคนเถ้าคนแก่และผู้คนอื่นๆในหมู่บ้าน สืบเนื่องจากความเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนของมิโกโตะ ขยันขันแข็งและจงรักภักดีต่อสามีของเธอ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยแย่แสเธอเลยก็ตาม จึงทำให้คนในระแวกนั้นต่างเห็นอกเห็นใจและไม่ถืออคติต่อเธอ

เมื่อฟังเรื่องราวของทั้งคู่หลายคนก็ต้องตั้งคำถามว่าทำไมคนดีๆปานพระแม่อย่างมิโคโตะกับซามูไรหางแถวไม่ได้ความที่ดีแต่พูดอวดตนอย่างเขาจึงมาพานพบกันได้ ก็คิดได้ในแง่เดียวว่าเป็นการคลุมถุงชนอย่างแน่นอน

มิโคโตะเป็นผู้หญิงที่หน้าตาธรรมดา เรียบง่าย ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เกิดในครอบครัวซามูไร ดังนั้นการได้แต่งงานกับซามูไรจึงเป็นสิ่งที่พ่อแม่ของเธอปราถนาที่สุดและต้องเกิดขึ้น จึงทำให้เธอต้องมาแต่งงานกับสามีคนนี้ด้วยประการฉะนี้ และข้ออ้างที่สามีของเธอพูดเสมอคือ “เธอไม่มีความฉูดฉาดเอาซะเลยฉันถึงต้องไปหาความสุขที่อื่น” เป็นข้ออ้างที่เข้าใช้เพื่อแก้ต่างความมักมากของตัวเอง

เมื่อสามีของเธอได้รับเงินเดือนจากเจ้านายมาเงินก็ไม่เคยตกถึงเธอกลายเป็นค่าเหล้าค่าบำเรอความสุขของสามีจนเกือบหมด ยังดีที่พวกอาหารก็ยังถึงเธอบ้างเพราะสามีของเธอยามเงินร่อยหรอก็ต้องกลับมาซบภรรยาตัวเองอยู่ดี ดังนั้นเครื่องแต่งกาย เครื่องใช้ของเธอ เธอจึงต้องทำงานเก็บเงินหาเอง ด้วยความที่เธอเป็นสาวจึงได้รับความเอ็นดูและได้รับความช่วยเหลือจ้างงานจากคนในระแวงนั้นเสมอ  สามีและเธอเรียกได้ว่าเหมือนคนแปลกหน้า แทบไม่มีสัมพันธ์กันเลยดังนั้นเรื่องมีลูกที่เป็นภาระเพิ่มเติมจึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องเป็นกังวล

ถึงมิโคโตะจะเป็นผู้หญิงที่ดูธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ แต่เธอก็มีความสามารถที่ไม่มีใครรู้

“สัมผัสที่หก”

เธอมีความสามารถในการมองเห็นและสื่อสารกับเหล่าวิญญาณ เธอจึงคุ้นชินกับเรื่องเหนือธรรมชาติและไม่รู้สึกรังเกียจ เธอเชื่อถึงการมีอยู่ของโยวไค ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเห็นแต่เธอก็เชื่อว่าไม่ใช่โยวไคทุกตัวที่ดุร้ายเหมือนที่เคยได้ยิน เพราะทุกสิ่งย่อมมีดีมีชั่ว มนุษย์ก็เช่นกัน….


จิ้งจอก เป็นทั้งเทพและปีศาจในสายตาของมนุษย์

จิ้งจอกในสายตามนุษย์เป็นพวกปลิ้นปล้อนไว้ใจไม่ได้ หากรู้ว่ามีจิ้งจอกเข้ามาในหมู่บ้าน ผู้คนก็ต่างหวาดระแวงว่าจิ้งจอกนั้นจะแปลงเป็นคนเพื่อมาหลอกตนและทำให้พวกตนเดือดร้อน

หารู้ไม่ว่าไม่ใช่จิ้งจอกทุกตัวที่จะเข้าไปปลอมตัวเป็นมนุษย์ได้อย่างแนบเนียน อย่างน้อยก็ต้อง2หางเป็นต้นไปถึงจะสามารถข้ามไปยังฝั่งมนุษย์แล้วแปลงตนเข้าไปได้

ถึงกระนั้น แม้ว่าจะเป็นจิ้งจอก 2 หางที่อายุกว่า 200 ปี การจะแปลงเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ยังทำได้โดยยาก หากพบกับสิ่งเร้าที่ทำให้ตกใจ ก็อาจจะความแตกได้ง่ายๆ เสียนอกจากว่าจะเป็นพวกจิ้งจอกที่ไม่กลัวอะไร หรือไม่แยแสอะไรจนไม่เกิดความกลัว

เหล่าจิ้งจอกรุ่นๆ เช่นจิ้งจอกหนึ่งถึงสองหาง ล้วนมีความอยากรู้อยากเห็นในฝั่งของมนุษย์ จิ้งจอกหนึ่งหางยังไม่มีพลังมากพอที่จะแปลงเป็นมนุษย์แล้วข้ามไปได้ การจะกลายเป็นจิ้งจอกก็เสี่ยงเกินไป  ส่วนจิ้งจอกสองหางหลายตนก็มีลองแปลงตนเป็นมนุษย์ไปแทรกซึมบ้างแต่ก็เกือบความแตกมาหลายครั้ง เนื่องด้วยภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยและปัจจัยอื่นๆ  ด้วยเหตุนี้จึงเกิดการรวมกลุ่มเล็กๆของเหล่าจิ้งจอกเด็กๆและวัยรุ่นเพื่อพูดคุยถึงความน่าตื่นเต้นของฝั่งมนุษย์ บางครั้งก็จะมีจิ้งจอกที่โตแล้วที่สามารถข้ามฝั่งได้อย่างอิสระมาเล่าเรื่องราวให้ฟัง ทำให้เด็กๆรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

แต่ในกลุ่มนั้นก็มีจิ้งจอกสองหางตนนึงที่ผิดแปลกไปจากจิ้งจอกรุ่นๆตนอื่น เขาไม่มีความสนใจใดๆเกี่ยวกับฝั่งมนุษย์ ความจริงคือเขาแทบไม่สนใจอะไร แค่มีอินาริซูชิอร่อยๆ กับชาร้อนให้กินก็พอแล้ว นามของเขาคือ

“ฮิโระอาคิ”

ฮิโระอาคิเป็นจิ้งจอกสองหางสีเงินอายุพึ่งย่างเข้าสองร้อยปีไม่นานมานี้ แต่ตัวเขาไม่ได้มีประสบการณ์อะไรมากมายเหมือนกับอายุเขานัก เพราะเขาแทบไม่ออกจากถิ่นตัวเองไปไหน พบปะแต่กับเหล่าโยวไคด้วยกันเท่านั้น ดังนั้นถึงแม้ว่า เลขสองร้อยบนอายุของเขาจะดูมากเมื่อเทียบกับอายุมนุษย์ แต่ความคิดความอ่านของเขาในตอนนี้ก็เพียงแค่เด็กผู้ชายคนนึง

เด็กผู้ชายเฉื่อยชาที่ไม่สนอะไรคนนึงเท่านั้น

นิสัยเฉยชาไม่สนอะไรของเขาอาจจะมีจากการที่เขาเป็นเด็กกำพร้าและไม่ค่อยได้รับการดูและและสั่งสอนอะไรมากนัก เขาเอาตัวรอดไปวันๆมาตลอดสองร้อยปีจึงไม่ค่อยสนอะไรมากนักนอกจากจะทำยังไงให้อยู่รอดไปวันๆ สิ่งเดียวที่เประสบการณ์ของเขาจะสอดคล้องกับอายุคงจะเป็นเรื่องทักษะการใช้คำพูดเพื่อเอาตัวรอด  เขาจะไม่พูดอะไรที่ขัดใจอีกฝ่ายเพื่อให้อีกฝ่ายเอ็นดูและยอมทำตามที่ตัวเองต้องการ ด้วยรูปลักษณ์ที่เป็นเด็กย่อมทำให้ผู้อื่นเอ็นดูมากกว่าอยู่แล้ว เขาจึงไม่คิดที่จะใช้ร่างที่สอดคล้องกับอายุของตนเอง

แต่เมื่อเทียบกับการใช้คำพูดแล้ว ความคิดของเขาจัดว่าค่อนข้างซื่อ บางคำที่เขาพูดออกมาอาจจะไม่คิดอะไรด้วยซ้ำ แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดแล้วหลงในคำพูดนั้น ด้วยคำพูดที่ดูเหมือนจะเอาอกเอาใจเป็นพิเศษนั่นเองจึงทำให้เขามีอาหาร มีเสื้อผ้า มีที่พัก อยู่ได้จนถึงสองร้อยปีโดยที่ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก


ในช่วงบ่ายวันที่อากาศเย็น มีเมฆบ้างพอเคลื่อนบังแสงอาทิตย์อันเจิดจ้าได้

มิโคโตะได้ออกมาหาของป่าเพื่อเป็นทำเป็นอาหารเย็นสำหรับสองที่ถึงแม้ว่าอีกทีอาจจะต้องเก็บไว้กินมื้อต่อไปคนเดียวก็ตาม

เธอเดินลึกเข้าไปในป่าไผ่เพื่อหวังว่าจะเจอหน่อไม้ไว้ทำอาหารบ้าง  เป็นเหมือนทุกครั้งที่เธอเข้ามาในป่า เธอจะสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างเสมอ บางครั้งก็เห็นเป็นรูปร่าง เพราะสัมผัสที่หกที่เธอมีทำให้เธอไม่สมารถหลีกเลี่ยงได้ แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรเพราะเคยชินไปแล้ว

.

ทางด้านฮิโระอาคิ วันนี้ก็เป็นเพียงวันธรรมดาวันนึงพิเศษที่เย็นเป็นพิเศษ เขาจึงออกเดินไปทางป่าไผ่ที่ยังอยู่ในเขตของจิ้งจอก อากาศเย็นเป็นอากาศที่เขาชอบ มันทำให้เขารู้สึกดีและมีแรงจะลุกขึ้นมาทำอะไรอย่างอื่นบ้างนอกจากนั่งเฉยๆหรือนอนไปวันๆ วันนี้จึงตัดสินใจออกไปเปลี่ยนบรรยากาศ

ลมเย็นๆพัดผ่าน พัดพากลิ่นที่แปลกไปมาแตะจมูกของเขา เป็นกลิ่นที่เขาไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน

จะว่าหอมก็หอม แต่จะว่าไม่หอมก็ไม่หอม

ถึงแม้ว่าปกติเขาจะไม่แยแสอะไรก็ตามแต่ในคราวนี้เขาก็เดินตามกลิ่นนี้ไปอย่างสนใจ หรือจริงๆแล้วเขาอาจจะไม่สนใจก็ได้ แต่เรียกได้ว่าเป็นสัญชาติญาณกระมัง

เมื่อเดินตามไประยะหนึ่ง เขาก็เห็นสตรีในชุดกิโมโนสิเรียบกำลังมองหาบางอย่างอยู่ไกลๆ

เธอไม่มีหู ไม่มีหาง ไม่มีปีก หรืออะไรที่เป็นลักษณะของโยวไค และกลิ่นของเธอก็ไม่ใช่กลิ่นของโยวไคด้วย

มนุษย์หน้าตาเป็นแบบนี้เองหรือ

มนุษย์ตัวเป็นๆ ถือเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา ถึงเขาจะเคยได้รับการบอกเล่ามาจากจิ้งจอกตนอื่นมาบ้าง แต่การได้เห็นของจริงย่อมทำให้รู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา

เขาลังเลที่จะเดินเข้าไปแต่ก็อยากจะลองไปดูใกล้ๆ เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีมาก่อน ที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกหรือประหม่ากับอะไรทั้งนั้น แต่การเจอมนุษย์ครั้งแรกนั้นทำให้เขามีอารมณ์อื่นนอกจากความเฉยเมยที่แสดงออกอยู่ทุกวันขึ้นมาได้

หลังจากที่เขามัวแต่ตื่นเต้นและละสายตาจากมนุษย์ผู้นั้นไปเพียงชั่วครู่เธอได้หายไปจากที่เดิม

อาจจะไปแล้วกระมัง

เขารู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้ไปสำรวจใกล้ๆ เขาได้เก็บหูและเก็บหางรอไว้แล้วเพื่อไม่ให้เธอตกใจ แต่เธอกลับหายไปซะนี่ คิดว่าอาจจะมีเรื่องไปเล่ากับกลุ่มจิ้งจอกรุ่นๆได้แท้ๆ

ระหว่างที่เขานึกเสียดายกับตัวเองจนไม่ได้ระวังตัวนั้น สตรีคนนั้นก็โผล่มาทางด้านหลังของเขา

“ทำไมถึงมีเด็กมาอยู่ในป่าล่ะ หลงทางมาหรอ พ่อแม่คงเป็นห่วงแย่แล้ว ให้ข้าพาออกไปไหม เห็นอย่างนี้ข้าค่อนข้างเซียนเดินป่าพอสมควรเลยล่ะ”

การปรากฏตัวโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวของสตรีนางนี้ ทำให้ฮิโระอาคิผู้เฉื่อยชากับทุกสิ่งตกใจได้มากพอที่จะทำให้หูที่เขาซ่อนไว้โผล่ออกมา

“เจ้าเป็นจิ้งจอกหรอกหรอ”

“…..”

“ไม่ต้องกลัวหรอก ข้าไม่ได้มีความคิดเกลียดชังพวกโยวไคแบบมนุษย์คนอื่นหรอกนะ ที่ทำให้เจ้าตกใจข้าต้องขอโทษด้วย”

สตรีผู้นั้นเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปจึงค่อยๆ ถอยออกมาเพื่อเว้นระยะห่าง

ทางฝั่งฮิโระอาคิเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เป็นภัยจึงวางใจและมีสติที่จะซ่อนหูตัวเองอีกครั้ง

“ท่านไม่กลัวข้าหรอ”

“เจ้าไม่ได้ทำร้ายข้าทำไมข้าต้องกลัวเจ้าด้วยล่ะ”

“เป็นมนุษย์ที่แปลกดีนะ ข้าเคยได้ยินแต่เรื่องของมนุษย์ที่เกลียดกลัวเหล่าโยวไค แสดงว่าท่านเป็นคนดีสินะ”

“เจ้าก็ยอข้าเกินไป เจ้ายังไม่ได้รู้จักข้าด้วยซ้ำอย่าพึ่งด่วนสรุปว่าข้าเป็นคนดีสิ ผู้ใหญ่สอนว่าอย่าไว้ใจคนแปลกหน้านะ”

“ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนเคยสอนข้าหรอก แต่ที่ท่านพูดก็ดูน่าสนใจดี ว่าแต่ท่านชื่ออะไรล่ะ”

“ข้าชื่อ มิโคโตะ …อิซามุ มิโคโตะ”

“อิซามุ มิโคโตะ… ตกลงเจ้าชื่อ อิซามุ หรือมิโคโตะกันแน่นะ”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้านี่ตลกดีนะ ชื่อของข้าคือ มิโคโตะ ส่วน อิซามุคือนามสกุล”

“นามสกุล?”

สีหน้าของฮิโระอาคิเปลี่ยนจากเรียบเฉยมาเป็นสงสัยเล็กน้อย

“สิ่งที่ใช้แสดงถึงวงศ์ตระกูลน่ะ”

“วงศ์ตระกูล…อะ..ข้าเข้าใจแล้วล่ะ”

“ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรล่ะ

“ข้าชื่อ ฮิโระอาคิ แต่ข้าไม่มีนามสกุลแบบท่านหรอกนะ”

ถึงแม้ว่าเขาจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่มิโคโตะก็สังเกตว่าแววตาของเขาแฝงความเศร้าอยู่ เธอจึงเข้าใจทันทีว่าความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขาคืออะไร

“แล้วเจ้าออกมาเดินทำไมที่นี้คนเดียวล่ะ ฮิโระอาคิ”

“ข้าก็เดินสำรวจไปเรื่อย แต่จริงๆคำถามนี้ข้าควรจะถามท่านมากกว่า ว่ามนุษย์สตรีๆสาวๆเช่นท่านถึงมาเดินอยู่ในป่าเขตจิ้งจอกคนเดียวแบบนี้ ไม่กลัวว่าจะมีอันตรายหรอ อีกย่างยังมีผีสางวิญญาณอื่นๆอีก ท่านไม่กลัวบ้างหรือ”

“ข้าออกมาหาของป่าสำหรับทำมือเย็นน่ะ ส่วนเรื่องอันตรายหรือผีสางก็ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าเอาตัวรอดได้ เห็นอย่างนี้ข้าก็กล้าหาญพอสมควรนะ!” มิโคโตะทำท่าทางขึงขังเพื่อให้อีกฝ่ายวางใจ

“ได้ยินแบบนั้นข้าก็วางใจ ถ้าท่านเป็นมนุษย์ที่กล้าหาญขนาดนี้ท่านคงต้องมองมนุษย์คนอื่นๆเสียใหม่ด้วย”

“ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะ ส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างที่เจ้าได้ยินมาแหละ” มิโคโตะหัวเราะเล็กน้อย

“งั้นรึ… งั้นท่านก็เป็นคนพิเศษสินะ”

“ได้ยินเช่นนั้นข้าก็ดีใจ เจ้าเป็นคนแรกที่เรียกว่าข้าคือคนพิเศษ”

“ข้าไม่รู้ว่าท่านเจออะไรมาบ้าง แต่ในสายตาข้าตอนนี้ท่านเป็นมนุษย์ที่พิเศษ”

” ฮ่า ฮ่า ฮ่า พอแล้ว ข้าก็อายเป็นเหมือนกัน ว่าแต่เจ้าไม่มีเพื่อนมาเดินเล่นด้วยกันบ้างหรือถึงได้มาเดินสำรวจคนเดียวแบบนี้ไม่เหงารึ”

“เพื่อนหรอ…จะว่ามีก็ได้กระมัง แต่ข้าชอบอยู่คนเดียวมากกว่า”

“งั้นให้ข้าเป็นเพื่อนเจ้าไหม ยังไงข้าก็ต้องเข้ามาหาของป่าบ่อยๆ ถ้ามีเพื่อนเดินสำรวจไปด้วยกันล่ะก็คงสนุกดี!” มิโคโตะพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“หืม… อืม..ข้อเสนอของท่านก็น่าสนใจดี ตัวข้าไม่เกี่ยงอยู่แล้ว ถ้าท่านคิดว่าท่านทำแล้วตัวท่านเองจะไม่เดือดร้อนข้าก็ยินดี”

“ข้าจะเดือดร้อนอะไรกันเล่าแบบนี้สิดี ข้ารู้สึกปลอดภัยมากขึ้นด้วย! มีเทพจิ้งจอกอยู่ใกล้ๆรู้สึกอุ่นใจเลยล่ะ เอาเป็นว่า ทุกวันอังคารกับพฤหัส ตอนบ่ายเจอกันที่นี่นะ!”

“เทพหรอ…พึ่งเคยมีคนเรียกข้าด้วยคำนี้เป็นครั้งแรก ถ้าท่านว่าแบบนั้นข้าก็จะรอท่าน”

“นี่ก็ใกล้มืดแล้วข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน เดี๋ยวสามีของข้ากลับมาแล้วไม่เจอคงจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถ้าเขากลับมานะ” มิโคโตะหัวเราะ แต่ช่างเป็นเสียงหัวเราะที่ดูฝืนใจยิ่งนัก

“งั้นข้าจะเดินไปส่งจนกว่าท่านจะถึงฝั่งมนุษย์”

หลังจากนั้นฮิโระอาคิและมิโคโตะก็เดินคุยกันไปเรื่อยๆจนถึงสุดชายป่าของอาณาเขตจิ้งจอกรอยต่อของเขตมนุษย์ ระหว่างทางมิโคโตะก็พูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับฝั่งมนุษย์ให้ฮิโระอาคิฟัง จนดูเหมือนเธอพูดคนเดียวด้วยซ้ำเพราะฮิโระอาคิก็ดูเหมือนจะรับฟังเงียบๆไม่ขัดความสนุกของเธอ

นี่เหมือนเป็นครั้งแรกที่เธอได้พูดคุยอย่างสนุกสนานกับคนอื่นโดยไม่ต้องเขอะเขินหรือพยายามมีมารยาท จึงทำให้เธอรู้สึกอยากกลับมาพูดคุยกับฮิโระอาคิบ่อยๆ

 จากตอนแรกที่เธอจะเข้ามาหาของป่าทุกวันอังคารและพฤหัส กลายเป็นเธอเข้าป่ามาถี่ขึ้นเรื่อยๆ จากความเหงาที่ต้องเป็นภรรยาที่คอยอุดอู้ในบ้าน ซึ่งนานๆทีจะมีงานให้ต้องออกไปทำ งานซ้ำซากที่เหมือนจะทำครบทุกอย่างที่ทำได้แล้ว การออกมาเปลี่ยนบรรยากาศออกมาพูดคุยกับคนที่รับฟังเธอโดยไม่ต้องห่วงภาพลักษณ์จึงเป็นสิ่งที่เธอโหยหามาโดยตลอด

ทางด้านฮิโระอาคิที่นานๆจะได้พูดคุยกับคนอื่นก็ได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆจากมิโคโตะมากมายรวมถึงซึมซับอะไรหลายๆอย่างจากเธอ ทำให้เขาไม่รู้สึกประหม่ากับมนุษย์อีก มิโคโตะได้บอกเรื่องราวของมนุษย์ในหลายๆด้านกับฮิโระอาคิรวมถึงเรื่องสามีไม่ได้ความของเจ้าหล่อนด้วย ทำให้ฮิโระอาคิรับรู้ว่า มนุษย์นั้นจริงๆก็ไม่ได้ต่างกับพวกโยวไคเท่าไหร่ที่มีทั้งพวกดีและพวกร้าย

ฮิโระอาคิที่เริ่มวางใจในตัวมิโคโตะจึงได้ยอมเล่าเรื่องราวของตัวเองไปเรื่องนึงคือเรื่องที่ตัวเองเป็นเด็กกำพร้า

มิโคโตะจึงปะติปะต่อเรื่องราวได้ว่าการที่ฮิโระอาคิดูเป็นคนที่ค่อนข้างเฉื่อยชาแบบนี้เพราะการที่ไม่มีครอบครัวคอยให้คำแนะนำและให้ความรักแก่เขา

การพบปะพูดคุยและเดินสำรวจเส้นทางในป่าของทั้งสองคนก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ แลกเปลี่ยนข้อมูลที่ดูเหมือนมิโคโตะจะเป็นฝ่ายนำมาให้ฝ่ายเดียวเสียมากกว่า(แต่เธอก็ไม่ได้เกี่ยงอะไร)ทำให้มีเรื่องใหม่ๆมาพูดทุกวันจนไม่รู้สึกเบื่อ

แต่การเข้าป่ามาเกือบทุกวันของมิโคโตะก็ทำให้เป็นที่น่าสงสัยและเริ่มเป็นข่าวลือแปลกๆในวงชาวบ้าน บ้างก็ว่าเธออาจจะเบื่อสามีจนไปซุกชู้รักไว้ในป่า บ้างก็ว่าเธอโดนภูติผีหลอกให้เข้าไปบ้าง จนเธอเกรงว่าอาจจะไม่ดีต่อทั้งตัวเธอและเหล่าโยวไคในป่าแห่งนี้

แต่การที่เธอจะเลิกมาคุยกับเด็กน้อยจิ้งจอกที่รับฟังเธอทุกเรื่องก็เป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก

ด้วยตัวสามีของเธอที่ไม่มีทีท่าจะหันกลับมาแยแสเธอ ความโดดเดี่ยวของเธอ ที่ตอนนี้ถูกเติมเต็มด้วยการสนทนากับคนที่เธอมองว่าเป็นเด็กน้อยว่าง่าย และ เธอคงคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะมีลูกกับสามีจอมปลิ้นปล้อนเสียยิ่งกว่าปีศาจจิ้งจอก เธอจึงนึกบางอย่างขึ้นมาได้และตัดสินใจโดยไม่มีลังเล

“นี่ฮิโระอาคิ”

“หืม”

“เจ้าแปลงเป็นมนุษย์ได้นานแค่ไหน”

“ก็ได้ตลอด ถ้าไม่มีอะไรทำให้ข้าเสียสมาธิ”

“ปกติเจ้าเสียสมาธิบ่อยแค่ไหน”

“ครั้งสุดท้ายก็ตอนที่ท่านโผล่มาข้างหลังข้าโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียง แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของท่านหรอก ตอนนั้นข้าเป็นเพียงจิ้งจอกขี้กลัว”

“อืม…”

“ท่านมีอะไรงั้นหรือ”

“ถ้าไม่ขอเกินไป..”

มิโคโตะค่อนข้างลังเลที่จำกล่าวขำขอออกไปเธอกลัวการถูกปฏิเสธแต่ยิ่งกว่านั้นคือกลัวที่จะทำให้จิ้งจอกน้อยรู้สึกไม่สบายที่จะปฏิเสธเธอ

“ไม่มีอะไรเกินไปเมื่อเทียบกับการที่ท่านคอยให้ความรู้กับข้าหรอกนะ”

“ช่วยมาเป็นลูกของข้าได้หรือไม่”

“..ข้าเข้าไปในท้องท่านตอนนี้ไม่ได้หรอกนะ…”

มิโคโตะถึงกับปล่อยเสียงหัวเราะออกมาหลังจากได้รับคำตอบที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าซื่อหรืออะไรดีของฮิโระอาคิ

“ไม่ใช่ลูกแบบนั้นสิ ข้าหมายถึงว่าลูกบุญธรรม ไม่ใช่ลูกที่ออกมาจากท้อง แต่เป็นเด็กที่ฉันจะรับมาเลี้ยงแล้วดูแล อยู่ด้วยกันเหมือนเป็นลูกน่ะ” เธออธิบายอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้เด็กน้อยเข้าใจผิดอีก

“ได้สิ”

“..เจ้าไม่ลังเลหน่อยหรอ”

เธอตกใจที่ทุกอย่างดูง่ายดายเหลือเกินจนรู้สึกเสียเวลาที่ลังเลไปเมื่อครู่

“ทำไมข้าจะต้องลังเลด้วยล่ะ ข้าไม่เดือดร้อนนี่ การที่ท่านขอข้าแบบนี้แสดงว่าท่านพิจารณาดีแล้วว่าข้าจะไม่ทำให้ท่านเดือดร้อน ถือว่าเป็นเกียรติเสียอีก”

“เจ้าพูดยอเกินไปอีกแล้วนะ” เธอเอามือเคาะหัวของเด็กชายไปหนึ่งที

“แต่ข้ามีคำถามหนึ่งอย่าง ถ้าท่านไม่สบายใจจะตอบก็ไม่เป็นไร”

“ข้าตอบแน่นอน ว่ามาเลย”

“ข้าจะได้ใช้นามสกุลของท่านใช่ไหม”

“แน่นอนสิ ก็เจ้าเป็นลูกข้องข้านี่นา”

—-

จบบท

เรื่องราวที่ไม่อยากนึกถึง บทที่1

hiro

One thought on “ของเล่น |เรื่องราวที่ไม่อยากนึกถึง บทที่ 1

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s