เรื่องราวที่ไม่อยากนึกถึง บทที่3
ณ ร้านเหล้าเล็กๆในหมู่บ้านบนเกาะอาโอโมริ
ร้านเหล้าร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ที่สืบทอดมายังรุ่นสู่รุ่น จนปัจจุบันมีผู้สืบทอดเป็นลูกสาวของเถ้าแก่คนก่อน ร้านนี้ดูเป็นร้านเล็กๆก็จริง แต่มีลูกค้าเข้าออกไม่ขาดสายตั้งแต่เปลี่ยนมือมา การปากต่อปากของเหล่าลูกค้าชายที่ชอบแวะเวียนมาที่เอ่ยถึงสเน่ห์ของเจ้าของร้านเป็นเสียงเดียวกัน โดยเฉพาะช่วงนี้ที่มีเด็กเสิร์ฟสาวๆมาคอยเป็นสิ่งเชิญชวนเหล่าลูกเค้าชายราวกับการแวะมาเชยชมงานเทศกาลชมดอกไม้ก็ไม่ปาน
“อาเจ๊ช่วงนี้อู้ฟู่น้า ถึงขนาดจ้างเหล่าดอกไม้งามมาเป็นสาวเสิร์ฟได้เนี่ย ” ลูกค้าชายที่แวะมาอุดหนุนร้านจนกลายเป็นขาประจำทักเจ้าของร้านขึ้นมาอย่างสนิทสนม
“แล้วฉันไม่เป็นดอกไม้งามหรอฮึ”
“แหม่ท่าน อิเคบานะน่ะ มันก็ต้องมีดอกที่เป็นตัวชูโรง และมีดอกบริวารทำให้ดูเด่นขึ้นใช่ไหมล่ะ ท่านก็เปรียบเหมือนตัวชูโรงนั้นและ ส่วนสาวๆทั้งสองก็เหมือนดอกประดับที่ทำให้ท่านดูโดดเด่นขึ้นยังไงล่ะ”
“พูดได้ดีแต่ไม่ได้กินฟรีหรอกนะ”
เหมือนว่าคำยกยอของลูกค้าผู้นี้จะไม่ได้ทำให้เธอใจอ่อนสักเท่าไร หรือไม่ก็เธอก็คงจะมองเจตนาของเขาออกตั้งแต่อ้าปากก็เป็นได้
“ว้า…. แต่ท่าน จ้างแต่สาวเสิร์ฟเพิ่มเพราะลูกค้าเยอะ ไม่คิดจะจ้างคนช่วยหลังร้านบ้างรึ นี่ๆ ถ้าตำแหน่งว่างเรียกข้ามาทำงานได้นะ”
“อยากกินเหล้าฟรีสิไม่ว่า ส่วนตำแหน่งนั้นน่ะ..มีคนจองไปแล้วล่ะ…ถึงแม้ว่า…”
เจ้าของร้านชะงักก่อนจะพูด เพราะเธอคิดได้ว่าการเลือกที่จะไม่พูดออกไปนั้นย่อมดีกว่า
“อาเจ๊นี่รู้ทันข้าตลอดเลย หืม แม้ว่า?” ชายหนุ่มถามต่อด้วยทีท่าสงสัย
“ช่างเถอะ”
“ว่าแต่เจ๊ไปหาเหล่าดอกไม้งามสองคนนี้มาจากไหนน่ะ คนนึงข้ายังพอคุ้นหน้า ส่วนแม่สาวผมดำคนนั้นน่ะ ไม่คุ้นเลย”
“…หล่อนไม่ใช่คนแถวนี้น่ะ”
“อ้อถึงว่า แต่หน้าตาก็สะสวย เสียอย่างเดียวดูไร้อารมณ์ไปนิดนะ”
“หล่อนก็เป็นของหล่อนแบบนี้มาตั้งนานแล้วน่ะนะ”
“งั้นรึ แต่ก็ดูเอาใจเก่งพอสมควรเลย เป็นที่ถูกใจของลูกค้าแก่ๆเลยทีเดียว”
“ไม่ถูกใจเจ้ารึ”
“ข้าชอบแแบบท่านมากกกว่าน่ะ”
“ไม่ได้กินฟรีหรอกนะ”
“ว้า”
เจ้าของร้านค่อนข้างรับมือได้ดีกับพวกลูกค้าชายผู้ชอบประจบประแจงหวังกินฟรี แน่นอนว่าร้านเหล้าแบบนี้เป็นที่สุมหัวของคนหลายประเภทนัก การที่จะเจอพวกกะชักดาบ หรือหว่านสเน่ห์ปากหวานหวังกินฟรีก็พบได้ทั่วไป
และดูเหมือนว่าจะมีลมที่หอบคนประเภทที่เรียกได้ว่าน่ารังเกียจมาได้เรื่อยๆ คนจำพวกที่เกาะผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าถึงแม้ว่าภรรยาของตนจะพึ่งตายก็ตาม หลอกใช้จนหมดตัวแล้วค่อยเปลี่ยนเหยื่อคนใหม่ ผู้ชายที่ปลิ้นปล้อนจนทำให้เผลอคิดไปว่าอาจจะเป็นพวกปีศาจแปลงกายมาก็เป็นได้ หรืออาจจะเป็นเพียงแค่มนุษย์ที่เลวราวกับปีศาจที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อหญิงสาวก็ว่าได้
ชายที่ถูกตราหน้าว่าเลวเหมือนกับปีศาจผู้นั้นปรากฏตัวที่ร้านเหล้าแห่งนี้เป็นประจำ ตั้งแต่รุ่นเถ้าแก่คนก่อน ถึงแม้ว่าเจ้าของร้านสาวผู้นี้จะไม่ค่อยถูกชะตากับเขามาแต่ไหนแต่ไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ เพราะยังไง ลูกค้าก็คือพระเจ้าผู้หอบกองเงินกองทองมาให้ ถึงแม้ว่าเงินทองนั้นจะสกปรกแค่ไหนก็ตาม
และวันนี้เป็นเป็นอีกวันที่ชายผู้นี้ปรากฏตัวพร้อมผู้หญิงคนใหม่อีกครั้ง
ม่านหน้าร้านถูกแหวกออกเป็นสัญญาณการมาของลูกค้า เผยให้เห็นชายวัย 50ปลายๆ เข้ามาพร้อมหญิงสาวอายุราวๆ30 แต่งตัวแบบผู้ดีเดินเข้ามาพร้อมกัน
เป็นหน้าที่ของเด็กเสิร์ฟที่ต้องมาต้อนรับลูกค้าเพื่อพาไปสู่ที่นั่ง สาวเสิร์ฟผมดำที่เผอิญว่างจากการเสิร์ฟอาหารเดินมาเพื่อทำหน้าที่ต้อนรับ ปกติสาวเสิร์ฟผู้นี่จะไม่ค่อยมาทำหน้าที่เป็นพนักงานต้อนรับสักเท่าไรนัก เพราะสีหน้าที่เรียบเฉยไร้อารมณ์ของเธอช่างดูไม่รับแขกเสียเหลือเกิน แต่วันนี้นั้นต่างออกไปจากหน้าเรียบเฉยแปรเลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มตอนรับที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนรอยยิ้มแสนอบอุ่นที่เชื้อเชิญและจับลูกค้าได้อยู่หมัด แต่เมื่อเธอลืมตา สายตาคมกริบราวกับสายตาของนักล่าที่มองเหยื่อ
บรรยากาศเปลี่ยนไปจนคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆสัมผัสได้ หากปล่อยไว้เช่นนี้ไม่เป็นการดีแน่ ในฐานะเจ้าของร้านจึงต้องรับผิดชอบการกระทำที่เสียมารยาทต่อลูกค้าของลูกน้องทันที
“ยินดีต้อนรับค่ะคุณลูกค้าสองที่เหมือนเดิมนะคะ”
เจ้าของร้านรีบเข้ามาแยกสาวเสิร์ฟผู้นั้น ก่อนจะวางผ้าเช็ดหน้าลงบนหัวเธอพร้อมกับกระซิบว่า
“กลับเข้าไปหลังร้าน ไปสงบสติซะ”
“ถ้าความแตก ไม่ใช่แค่ท่านที่จะเดือดร้อน”
หญิงสาวเดินเข้าไปตามคำสั่งของเจ้าของร้านอย่างว่าง่าย เข้าไปในห้องของเธอลงกลอนอย่างเรียบร้อย ผ้าเช็ดหน้าที่คลุมหัวของเธอตกลงตอนเธอก้มหน้าเพื่อลงกลอน เผยให้เห็นหูจิ้งจอกสีเงินสะท้อนกับแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างเล็กๆเป็นประกาย
“ต่อให้แก่แค่ไหนก็ไม่เคยทิ้งลายสินะ”
“แต่ก็ดี ทุกอย่างจะได้ง่าย”
หญิงสาวพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่แฝงไปด้วยแรงอาฆาต
ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกสติหญิงสาวให้หลุดขึ้นมากจากภวัง
ด้วยกลิ่นที่คุ้นเคยหล่อนรู้ทันทีว่าคนที่เคาะประตูคือเจ้าของร้าน
“ข้าไม่เป็นไรแล้วขอโทษที่ทำให้เดือดร้อน วันนี้ข้าจะทำหลังร้านตามหน้าที่ของข้าที่เจ้าจ้างข้ามา โอคิคุ”
“ก็ดี….นี่เป็นรอบหลายเดือนที่ท่านเจอผู้ชายคนนั้นครั้งแรก ไม่แปลกที่ท่านจะควบคุมความโมโหไว้ไม่ได้ ท่านฮิโระอาคิ ไม่สิตอนนี้ต้องเรียกฮิโระจังสินะ”
สิ้นสุดคำพูดของเจ้าของร้าน ประตูเปิดออกเผยร่างของมนุษย์ชายหนุ่มผมสีเงิน ยืนอยู่ด้านหลังของประตู
“เจ้าจะเรียกอะไรก็แล้วแต่สบายใจ ข้าสัญญาว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก” เขาพูดด้วยเสียงเรียบเฉย เรียบเสียจนไม่สามารถเดาได้ว่าในหัวของเขาคิดอะไรอยู่กันแน่
“ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกข้าได้..”
โอคิคุค่อนข้างเป็นห่วงเพื่อนสมัยเด็กของเธอการเหตุผลที่เธอจ้างเขามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อทำงานแต่เพื่อที่จะได้ลืมๆเรื่องราวในอดีตไปบ้าง แต่เหมือนเธอจะหลงลืมไปว่าร้านของเธอเนี่ยแหละคือสถานที่ที่เกิดการปะทะได้มากที่สุด จนตอนนี้กลายเป็นว่าความรู้สึกผิดเริ่มพรั่งพรูเข้ามาในใจของเธอ
“ขอบคุณในความกรุณาของเจ้า เสียเวลาเป็นเงินเป็นทอง เจ้ากลับไปทำงานหน้าร้านเถอะ ข้าจะรับผิดชอบหน้าที่ที่ข้าละเลยมานานข้างหลังร้านนี่เอง”
โอคิคุพยักหน้ารับแล้วหันหลังกลับไปทำหน้าที่เจ้าของร้านของตนต่อ
“หน้าที่…ท่านก็เห็นอยู่ว่าจริงๆแล้วหลังร้านมันไม่มีงานให้ทำ…” เธอพึมพำกับตัวเอง
ปรกติแล้วหน้าที่หลังร้านจะมีเพียงแค่จัดวัตถุดิบที่จะมาใช้ทำเครื่องเคียงซึ่งทำเตรียมไว้ตั้งแต่เช้าแล้วค่อยนำไปจัดทำต่อที่หน้าร้าน และการเคลียร์ของที่เหลือในช่วงเย็น ดังนั้นช่วงบ่ายๆแบบนี้ที่ข้างหลังร้าน จะไม่มีอะไรให้ทำเท่าไร ดังนั้นการที่บอกว่าจะรับผิดชอบหน้าที่ที่ละเลย คงเป็นเพียงแค่การนั่งสงบสติอารมณ์ก็เป็นได้
ฮิโระอาคิเป็นผู้ชายที่เรียกได้ว่าค่อนข้างใจเย็นมาตลอด ต้องพูดว่าเฉื่อยชาจนดูเหมือนคนใจเย็นมากกว่า แต่ก็ยังมีความกระตือรือร้นอยู่บ้าง จนกระทั่งคนสำคัญที่สุดของเขาเสียชีวิตไป นิสัยของเขาก็ค่อนข้างเปลี่ยนไปพอสมควร เขากลายเป็นคนเดนตายไปช่วงหนึ่งก่อนที่โอคิคุจะไปช่วยเรียกสติคืนมาได้ แต่จากที่ปกติไม่ค่อยที่จะเลือดร้อนหรือโมโห ตอนนี้เมื่อพูดถึงตัวการที่ทำให้ชีวิตครอบครัวของเขาพัง เขาก็จะกลายเป็นคนเลือดร้อนขึ้นมามากกว่าปกติ ถึงแม้ว่าสีหน้าจะไม่แสดงออกมาแต่ถ้ามองแววตาของเขาก็สามารถอ่านออกได้ทันที นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เขาได้พบกับชายคนนั้นอีกครั้ง จนทำให้เกือบเผลอเผยร่างที่แท้จริงออกไป
ถ้ามนุษย์รู้ถึงความลับของจิ้งจอก คงจะต้องวุ่นวายเป็นแน่
และก็ผ่านไปอีกวันสำหรับร้านเหล้าแห่งนี้
ร้านเหล้าแห่งนี้เปิดตั้งแต่ช่วงเที่ยงไปจนถึงตีสอง และต้องออกไปซื้อวัตถุดิบในตอนเช้าตรู่ทุกวัน
ตอนนี้เป็นเวลาตีสอง โอคิคุเดินกลับเข้ามาหลังร้านอย่างเหนื่อยๆ แต่ดูเหมือนจะเหนื่อยใจเสียมากกว่าเหนื่อยกาย
“ชายคนนั้นเกี้ยวข้าล่ะ ต่อหน้าผู้หญิงที่พามาเลย สุดยอดจริงๆนะ ปลิ้นปล้อนเสียยิ่งกว่าจิ้งจอกอีก” โอคิคุพลางถอนหายใจ
“ข้าไม่เคยปลิ้นปล้อนแบบนั้นกับใคร” น้ำเสียงของฮิโระอาคิฉุนเฉียวกว่าปกติขึ้นเล็กน้อย
“ข้าไม่ได้ว่าท่านซักหน่อย ข้าหมายถึงส่วนใหญ่น่ะ”
“ก็แล้วแต่เจ้าจะคิดแล้วกัน”
แน่นอนผู้ชายที่โอคิคุกำลังพูดถึงคือ อดีตซามูไรผู้ปลิ้นปล้อนอดีตสามีของมิโคโตะแม่บุญธรรมของฮิโระอาคิที่ตอนนี้กลายเป็นสามีของเศรษฐีนีสาวไปเสียแล้ว แต่ก็คงได้ไม่นานหรอก เมื่อสิ้นทรัพย์สินเขาก็ของไปจับเหยื่อรายใหม่ต่อไม่จบสิ้น ช่างเป็นคนวัยกลางคนที่ไม่รู้จักเจียมตัวเสียจริง แต่ก็ต้องยอมรับในตัวผู้ชายคนนี้ ที่สามารถอยู่รอดมาได้ด้วยคารมที่ทำให้ญิงสาวติดกับมานักต่อนัก ในอดีตอาจจะมีเรื่องเงินตราเข้ามาเกี่ยว แต่ด้วยประสบการณ์ที่เขาลับมาจนคมกริบ ตอนนี้แค่คำพูดประจบประแจงเพียงไม่กี่คำของเขาก็ทำให้ สตรีผู้อ่อนต่อโลกตกหลุมพรางได้อย่างง่ายได้
“แต่ว่าคารมของชายผู้นั้นนี่ สูสีพอๆกับท่านเลยนะ”
“ทำไมเจ้าถึงชอบยั่วโมโหข้าไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”
“ข้าไม่ได้จะยั่วโมโหท่าน ข้าแค่พูดให้ฟัง แต่ว่าการพูดของเขานั้นดูจะแฝงไปด้วยเจตนาลวงหลอกเสียมากกว่า แต่ก็คงทำให้พวกมนุษย์สาวๆหลงกันได้พอสมควร”
“แล้วเจ้าหลงไหมล่ะ”
“ข้าหลงท่านมากกว่าน่ะ”
และบทสนทนาของทั้งคู่ก็จบลงประมาณนี้เสมอแม้ว่าเวลาจะผ่านมานานขนาดไหน ถึงโอคิคุจะเบื่อความเฉยชาของฮิโระอาคิบ้างในบางที และตอนนี้ผู้ชายคนนี้ก็ดูจะเหมือนคนแก่ขี้หงุดหงิดมากกว่าผู้ชายปากหวานที่เธอเคยรู้จัก แต่เธอก็ยังชื่นชอบเขาอยู่ดี ถ้าพูดถึงระดับความชื่นชอบในตัวฮิโระอาคิของโอคิคุแล้วล่ะก็ ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา เพียงแค่เขาปริปากขอ เธอก็คงจะยอมทำตามได้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นฮิโระอาคิก็ไม่เคยปริปากขอให้อะไรโอคิคุเป็นพิเศษ
หลังจากทีอดีตซามูไรผู้นั้นคบกับเศรษฐีนีสาวต่างเมือง เขาก็จะมาที่ร้านนี้เพียงอาทิตย์ละครั้งหรือบางทีอาจจะเว้นช่วงยาวกว่านั้น นี่คงจะเป็นช่วงสร้างความไว้ใจให้แก่ถังทองที่จับมาได้ในครานี้กระมัง อีกไม่นานก็คงกลับมาถลุงเงินทองอีกเป็นแน่ อีกทั้งในตอนนี้ร้านเหล้าแห่งนี้มีพนักงานเสิร์ฟสาวเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง(บวกหนึ่ง)คน ไหนเจ้าของร้านรุ่นนี้ยังเป็นสาวสะพรั่งอีก ก็ดูจะเป็นที่ถูกอกถูกใจไม่เบา
หน้าที่ของฮิโระอาคิโดยปกติจะแปลงเป็นสาวเสิร์ฟมาช่วยงานหน้าร้านหลังจากที่จัดการกับหน้าที่หลังร้านเสร็จแล้ว จริงๆแล้วเขาค่อนข้างในรับความนิยมจากเหล่าลูกค้าชายโดยเฉพาะพวกลูกค้าแก่ๆเพราะคำพูดที่ดูเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ ทั้งๆที่จริงๆแล้วเจ้าตัวก็พูดออกมาโดยไม่ทันคิดด้วยซ้ำ แต่จะไม่ค่อยไปรับลูกค้าเท่าไรนักเนื่องจากมักโดนติงมาว่าหน้าตาไม่ค่อยต้อนรับลูกค้าเสียเหลือเกิน แต่ทุกครั้งที่อดีตซามูไรเจ้ากรรมมาที่ร้านเขาจะถูกโอคิคุไล่มาหลังร้านเสมอ ทั้งๆที่เขาก็ยืนกรานแล้วว่าจะไม่ทำให้ความลับแตกแน่ๆ แต่โอคิคุก็อยากเลี่ยงการปะทะให้มากที่สุด
กิจการร้านเหล้าของโอคิคุดำเนินไปอย่างราบรื่น ลูกค้าก็แวะเวียนมาเรื่อยๆ สาวเสิร์ฟในร้านทั้งสองเพียงประจบลูกค้านิดๆหน่อยก็ได้ทิปเป็นค่าพิศวาสเล็กๆน้อยๆติดไม้ติดมือเสมอ บางทีก็เจอลูกค้าแก่ๆกระเป๋าหนักจ่ายให้อย่างงามเมื่อเอาใจพวกเขาได้ จนบางทีสาวเสิร์ฟอาจจะมีเงินมากกว่าเจ้าของร้านด้วยซ้ำ เพราะไม่ต้องเจียดเงินไปซื้อเหล้าซื้อวัตถุดิบเข้าร้านเลย
สาวเสิร์ฟอีกคนนอกจากฮิโระอาคิเป็นลูกสาวของร้านขายผักใกล้ๆกันที่เบื่อกิจการของที่บ้านเลยมาทำงานกับโอคิคุเพื่อหาอะไรเปิดหูเปิดตาบ้าง แต่อีกไม่นานก็ต้องลาออกไปแต่งงานกับชายต่างเมืองที่มาสู่ขอ เวลาของเธอในร้านนี้ก็เริ่มน้อยลงทุกวัน สมาชิกในร้านที่เหลืออีกทั้งสองคนคือ โอคิคุกับฮิโระอาคิในคราบของผู้หญิงก็ได้เตรียมการเล็กๆน้อยๆเพื่อเป็นการเลี้ยงส่งเธอ ก่อนที่จะต้องมารับหน้าที่หนักขึ้นกับการจัดการร้านเพียงสองคน
เมื่อเข้าสู่ช่วงนับถอยหลังเพื่อเข้าสู่งานเลี้ยงส่งสาวเสิร์ฟ เธอกลับมาทำงานน้อยลงซึ่งโดยปกติแล้วเธอไม่เคยลาหยุดเลยสักครั้ง ซึ่งทั้งสองก็เข้าใจได้เพราะอาจจะต้องเตรียมตัวสำหรับพิธีแต่งานและการจัดข้าวของ แต่เรื่องราวดันไม่ใช่อย่างที่รุ่นพี่ทั้งสองคิดไว้ ในวันสุดท้ายของการทำงานเธอกลับมาที่ร้านในเวลาก่อนที่ร้านจะปิด ดวงตาบวมเป่งเพราะการร้องไห้ติดต่อกันเป็นเวลานานสร้างความตกใจให้กับโอคิคุและโอโระอาคิ
หล่อนบอกเล่าเรื่องราวให้เหล่ารุ่นพี่ที่เธอไว้ใจฟัง แล้วก็เป็นไปตามคาด มีเพียงไม่กี่คนที่เป็นปีศาจคอยกัดกินชีวิตของหญิงสาววัยแรกรุ่นแบบนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอดีตซามูไรจอมปลิ้นปล้อนคนเดิม เธอเล่าว่าเรื่องเริ่มขึ้นหลังจากการพบเจอกับชายผู้นั้นในขณะทำหน้าที่ในร้าน เขาให้ทิปเธอมากเป็นพิเศษกว่าลูกค้าคนใด เขาจะถามเสมอว่า วันนี้ลูกค้าคนไหนให้เงินเธอมากที่สุด เขาจะให้มากเป็นสองเท่าและครั้งถัดๆมาก็จะให้เงินมากขึ้นเรื่อยๆ เธอมองเพียงแค่ว่าเขาเป็นชายกลางคนใจกว้างคนหนึ่ง วันหนึ่งชายผู้นี้มาที่ร้านเพียงคนเดียว ไม่ได้มากับภรรยาเหมือนเคย ระหว่างจิบสุราเขาก็เชิญเธอมานั่งคุยด้วย ถึงแม้ว่าเธอจะปฏิเสธไปว่าเป็นเวลางานแต่เขาก็ยังยืนกรานที่จะสนทนากับเธอให้ได้ ด้วยความเป็นลูกค้าเธอจึงไม่กล้าที่จะปฏิเสธเขามากไปกว่านี้ บทสนทนาจึงเริ่มต้นขึ้น อาจจะถูกขัดด้วยการที่เธอต้องไปทำหน้าที่ต่อ แต่ก็ต้องเดินกลับมาสนทนากับเขาเรื่อยๆจนเขาออกจากร้านไป ช่วงเวลาที่สนทนากับชายผู้นั้นเป็นช่วงเวลาที่สนุกมาก เหมือนได้พูดคุยกับชายผู้เข้าอกเข้าใจเธอ รับฟังเรื่องราวทุกอย่าง ต่อบทสนทนาได้อย่างลื่นไหลพูดคุยด้วยแล้วสบายใจยิ่งนัก เหตุการเช่นนี้เกิดขึ้นติดต่อกันอยู่หลายเดือน บางครั้งเธอก็ถามถึงภรรยาของเขา แต่เขาก็ได้แต่ตอบว่า ช่วงนี้หล่อนท้องเลยออกมาเที่ยวเล่นไม่ได้เหมือนแต่ก่อน เธอจึงไม่ได้รู้สึกสงสัยอะไร
จนกระทั่งหลังจากนั้นไม่กี่เดือน เขาได้บอกว่าภรรยาของเขาได้เสียชีวิตลงตอนคลอดลูกและลูกของเขาก็ได้จากไปพร้อมกับภรรยา สภาพของเขาดูเหมือนคนที่เสียใจจากใจจริง เธอจึงยอมเป็นเพื่อนที่คอยฟังการระบายความเศร้าของเขา เขาพูดถึงเรื่องราวของเขาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
จากปากของผู้ชายผู้นั้นเล่าว่าในอดีตเขาเคยมีภรรยาที่อ่อนกว่าเขาเกือบสิบปีได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขมาโดยตลอด จนกระทั่งเธอไปรับลูกบุญธรรมมาเพราะเธอไม่สมารถมีลูกได้ เธอก็เริ่มเปลี่ยนไป เธอสนใจเขาน้อยลง ความรักที่เคยมีให้ก็ลืมจืดจาง เขาจึงต้องพึ่งน้ำเมาเพื่อย้อมใจ บ้านช่องจึงไม่ค่อยได้กลับ เตรดเตร่ หาที่พักใจไปเรื่อยแล้วจึงไปทำงานในวันถัดไป จนกระทั่งถึงคราวเคราะห์ร้าย ต้องตกงานเพราะเจ้านายกลั่นแกล้ง เขาจึงกลับไปอยู่บ้านที่ไม่ได้กลับมาหลายปี พบว่าลูกบุญธรรมที่กลายเป็นหนุ่มกลายเป็นชู้รักของภรรยาตัวเอง และแข็งกร้าวออกปากไล่ตนออกจากบ้านจนต้องระเห็ดระเหินและได้มาเจอกับภรรยาของตนที่พึ่งเสียไปตอนนี้ แต่ได้ข่าวว่าหลังจากนั้นเกือบๆสิบปีอดีตภรรยาของตนก็เสียชีวิตด้วยอาการป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุทั้งๆที่อายุเพียงแค่สี่สิบต้นๆ ก็สันนิษฐานกันว่าอาจจะถูกวางยาพิษก็เป็นได้…
“พอเถอะข้าไม่อยากฟังแล้ว ขอตัว”
ฮิโระอาคิพูดขัดขณะที่รุ่นน้องสาวเสิร์ฟกำลังเล่าเรื่องก่อนจะเดินไปที่หลังร้านโดยไม่พูดอะไรอีก
โอคิคุได้ยินแค่เสียงก็รู้เลยว่าเขาคงจะกลั้นความรู้สึกอยากจะอาเจียนต่อเรื่องราวของชายผู้นั้นมากแค่นั้น มีแค่คำโกหกพกลมเต็มไปหมด อีกทั้งยังป้ายสีมิโคโตะภรรยาเก่าและตัวฮิโระอาคิอีกด้วย ครั้งนี้โอคิคุไม่ได้ตามฮิโระอาคิไป เธอคิดว่าปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวจะดีเสียกว่า ดีไม่ได้ ขืนเข้าไปตอนนี้เธอนั่นแหละที่จะเดือดร้อน…
“รุ่นพี่ฮิโระเป็นอะไรหรอคะ” สาวเสิร์ฟรุ่นน้องถาม
“เรื่องนี้มันคงสะเทือนใจเขาพอสมควรเลยนะ ถึงแม้ว่าเขาจะดูเป็นคนเฉื่อยชา แต่จริงๆแล้วเขาละเอียดอ่อนกว่าทีเราเห็นนะ ให้เขาไปพักเถอะวันนี้ก็ทำงานเหนื่อยทั้งวัน เจ้ามีเรื่องอะไรจะระบายก็พูดต่อเถอะ”
ได้ยินดังนั้นหญิงสาวจึงเล่าเรื่องราวต่อ ชายผู้นั้นกล่าวว่าภรรยาคนปัจจุบันของเขาเป็นเศรษฐีนีต่างเมืองใจบุญที่เห็นสภาพอันน่าสังเวชของตน จึงรับตนมาทำงานเป็นที่บ้านของเธอ หลังจากที่เธอได้ฟังเรื่องอันแสนปวดร้าวของเขาเธอก็สงสัยเขาจับใจให้การดูแลเขาเป็นอย่างดี จนสุดท้ายเกิดรักกันและแต่งงานกันในที่สุด แต่ก็โดนโชคร้ายที่เธอกลับต้องมาเสียชีวิตลงพร้อมเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง ตอนนี้เขาโศกเศร้ามากเขาไม่เหลือใครไม่เหลืออะไรเพราะเงินทั้งหมดของภรรยาก็ไม่ใช่ของเขา เขาถูกกีดกันจากตระกูลเพราะไม่มีทั้งผู้สืบทอดและไม่มีหัวนอนปลายเท้า เขานึกถึงที่พึ่งทางใจสุดท้ายนั่นคือหญิงสาวที่กำลังนั่งเล่าเรื่องราวอยู่นี้ เพื่อนที่คอยรับฟังเรื่องราวของเขาตลอด หลังจากที่เธอได้ยินดังนั้นเธอก็รู้สึกเห็นใจเขาเป็นอย่างมาก เธอจึงให้ความช่วยเหลือเขาโดยให้เงินไปเช่าที่อยู่และให้เงินไปค่าใช้จ่ายแก่เขาเรื่อยๆในช่วงระหว่างที่เขากำลังหางาน เพราะถือว่าที่เธอมีเงินมากขนาดนี้เพราะความปรานีที่เขาเคยมีให้แท้ๆ แต่อะไรๆก็ดูเหมือนว่าจะแย่ลงเพราะชายผู้นั้นดูเหมือนจะสูบเลือดสูบเนื้อเธอมากขึ้นเรื่อยๆ มากกว่าเงินที่เขาเคยให้เธอด้วยซ้ำ แต่เธอก็ปฏิเสธเขาไม่ได้ เพราะถูกขู่ว่าถ้าขัดขืนเขาจะป่าวประกาศว่า ผู้หญิงที่กำลังจะแต่งงานคนนี้มาเล่นชู้กับเขา เขาไม่มีอะไรจะเสียแล้ว มีแต่เธอที่จะยอมทิ้งอนาคตแลกกับเงินเชียวหรือ จนตอนนี้เธอไม่เหลืออะไร เงินเก็บทั้งหมดก็หมดสิ้น เธออยากจะรีบออกจากเมืองไปอยู่กับสามีใจจะขาด จึงต้องมาขอลาตั้งแต่วันนี้ ไม่มีกะจิตกะใจจะอยู่ต่อแม้กระทั่งรองานเลี้ยงส่งในวันพรุ่งนี้ก็ทนไม่ไหว
หลังจากที่ฟังเรื่องจบ โอคิคุก็ถึงกับถอนหายใจยาว โถแม่สาวผู้ใสซื่อ ถูกต้มจนหมดเปลือก เชื่อเลยว่าเศรษฐีนีคนนั้นก็คงไม่ได้ตายเพราะคลอดลูกด้วยซ้ำ ชายผู้นั้นช่างปลิ้นปล้อนเสียยิ่งกว่าจิ้งจอกใดๆซะอีก เผลอๆจิ้งจอกที่อยู่ในร้านนี้ยังคิดกลอุบายขนาดนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
โอคิคุปลอบหญิงสาวและพาเธอไปส่งที่บ้าน นี่เป็นวันสุดท้ายที่จะได้เห็นหน้าเธอ น่าเสียดายที่งานเลี้ยงส่งจะต้องยกเลิกไป จากที่กะจะปิดร้านฉลอง คงต้องออกไปซื้อของยามเช้าตรู่เพื่อเปิดร้านในตอนเที่ยงดังเดิม
พอกลับมาที่ร้านเธอก็ตรงเข้าไปหลังร้านเพื่อไปดูอาการลูกจ้างของเธออีกคนที่คงจะเข็ดขยาดความโสมมของจิตใจมนุษย์เต็มที
เธอคิดว่าพอเข้าไปที่หลังร้านคงจะเห็นภาพชายผมเงินที่ปล่อยให้หูหางดั้งเดิมโผล่ออกมาโดยไม่กลัวว่าความลับความเป็นโยวไคจะแตกนั่งเหม่ออยู่เป็นแน่ แต่พอเธอเปิดประตูเข้าไปกลับไม่ใช่ภาพที่เธอคาดเดาไว้
ที่นั่นมีเพียงแค่สาวเสิร์ฟผมดำอีกคนนึงกำลังเตรียมของสำหรับงานเลี้ยงส่งที่ยกเลิกไปแล้วในวันพรุ่งนี้
เหมือนหล่อนจะรู้ตัวว่าเจ้าของร้านได้เข้ามาข้างหลัง เธอหันไปหาเจ้าของร้านด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม เหมือนไม่เคยได้ยินเรื่องที่รับฟังมาเมื่อครู่ เธอพูดกับเจ้าของร้านเพียงๆสั้นๆ
“พรุ่งนี้จะยังมีงานเลี้ยงส่งอยู่” เธอหยุดพูดเหมือนจะคิดสักพักก่อนจะพูดต่อ
“แต่ไม่ใช่งานเลี้ยงส่งของรุ่นน้อง แต่เป็นงานเลี้ยงต้อนรับสมาชิกใหม่”
ทั้งๆที่น้ำเสียงที่พูดก็เป็นน้ำเสียงที่เรียบเฉยที่โอคิคุได้ยินมาตลอดตั้งแต่เด็ก แต่คำพูดของเขาในครั้งนี้กลับแฝงไปด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือกน่าขนลุก
วันนี้ร้านเหล้าเล็กๆที่ปกติจะมีลูกค้าเข้าออกเสมอเงียบกว่าทุกวัน
เพราะวันนี้ร้านปิดชั่วคราวหนึ่งวันเพื่อจัดงานเลี้ยงตอนรับสมาชิกใหม่
หลังจากพนักงานเสิร์ฟสาวคนหนึ่งได้ลาออกไป การรับลูกค้าจำนวนมากด้วยเพียงแค่แรงของเจ้าของร้านหนึ่งคนและพนักกงานหนึ่งคนที่ทำทั้งหน้าที่สาวเสิร์ฟและผู้ดูแลหลังร้านคงจะเหนื่อยเกินไป การเปิดรับสมัครพนักงานหลังร้านคนใหม่ก็เกิดขึ้นรวดเร็วดังสายฟ้าแล่บ แต่คงจะเรียกว่าเปิดรับคงจะไม่ได้ เรียกว่าการเชิญมาเป็นพนักงานคงจะง่ายกว่า
ชายวัยกลางคนที่กำลังตกงานคนหนึ่งถูกเชิญมาเป็นพนักงานหลังร้าน เพราะรู้จักกับเจ้าของร้านมาเป็นเวลานาน อีกทั้งยังเป็นลูกค้าประจำที่ไม่เคยติดเงินร้านเลยเหมือนลูกค้าคนอื่นๆ ถึงแม้ว่าเงินเหล่านั้นส่วนใหญ่จะเป็นของแม่สาวที่ชายผู้นั้นพามาก็ตาม แต่ก็ไม่เกี่ยงถือว่าเป็นคนที่หาเงินมาจ่ายค่าเหล้าได้ครบถ้วนเสมอก็ถือว่าใช้ได้
คงไม่ต้องให้บอกว่าชายผู้นั้นคือใครเพราะว่าก็คงจะเดากันได้จากสรรพคุณที่กล่าวมา จะให้กล่าวฉายาซ้ำว่าคืออดีตซามูไรเดนตายก็คงจะเบื่อฟังเต็มทน
ทันที่ทีเขาได้รับคำเชิญให้มาทำงานที่นี่ ไม่มีความลังเลในการตอบตกลง เขารับข้อเสนอในทันที อยากจะเรียกได้ว่าตอบตกลงก่อนจะพูดจบด้วยซ้ำ แน่นอนเพราะว่ามีแต่ได้กับได้ มีเหล้า มีอาหารกินฟรี ได้เงินเดือนแถมมีที่ซุกหัวนอนชายคาเดียวกับร้านแคบๆที่มีแต่หญิงสาว มีหรอเสือผู้หญิงอย่างเขาจะปฏิเสธ
ตอนนี้ร้านเหล้าแห่งนี้ได้เปิดร้านเร็วขึ้นประกอบกับการควบเป็นร้านอาหารไปด้วย ดังนั้นหน้าที่หลังร้านจะหนักขึ้นเพราะต้องเตรียมอาหารทั่วไปสำหรับลูกค้าร้านอาหารด้วย ไม่ใช่เพียงแต่เตรียมของสำหรับกับแกล้มเหมือนเคย แต่การปรับเปลี่ยนกระทันหันแบบนี้ก็ทำให้งานหนักอยู่บ้างเพราะนอกจากเจ้าของร้านก็ไม่มีใครในร้านที่ทำอาหารจานหลักเป็นเลย อย่างมากก็ทำได้แค่กับแกล้มเหล้าจึงต้องมีการปรับหน้าที่เล็กน้อยโดยให้สาวเสิร์ฟผมดำที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีไปรับตำแหน่งหน้าร้านและทำกับแกล้มซึ่งเคยเป็นตำแหน่งเดิมของเจ้าของร้าน ส่วนเจ้าของร้านก็ต้องมาคอยสอนพนักงานวัยกลางคนที่พึ่งรับมาใหม่ให้ทำอาหารมื้อหลักให้ได้ ซึ่งชายผู้นั้นก็ไม่ขัด ดีเสียอีกที่ได้อยู่กับเจ้าของร้านสาวสวยหลังร้านสองต่อสองอย่างใกล้ชิด
ในช่วงแรกของการปรับเปลี่ยนระบบร้านค่อนข้างทุลักทุเลบ้าง แต่ก็เริ่มเข้าที่เข้าทางในเวลาไม่นาน อดีตพนักงานเสิร์ฟที่ตอนนี้เป็นเหมือนตัวแทนเจ้าของร้านก็เริ่มปรับเปลี่ยนสีหน้าไม่ให้ดูเย็นชาเหมือนเดิมได้มากขึ้น ส่วนชายคนครัวหลังร้านก็ดูเหมือนจะทำอาหารได้ดีขึ้นมากแต่ก็ยังรบเร้าให้เจ้าของร้านคอยคุมตอนทำอาหารอยู่บ่อยๆ
“ฮิโระจัง คุณเจ้าของร้านตอนนี้เขามีสามีแล้วหรอ”
ลูกค้าขาประจำที่คอยเกี้ยวพาราสีใส่เจ้าของร้านถามฮิโระอาคิที่ตอนนี้ใครๆก็เรียกว่าฮิโระจังด้วยน้ำเสียงเสียดาย
“ท่านมองว่าเป็นเช่นนั้นหรือ”
“แหม่ก็ช่วงนี้คลุกอยู่แต่ในครัวกับพ่อหม้ายคนนั้นนี่นาแล้วจะให้คิดอย่างไรเล่า ทั้งๆที่บอกว่าถ้าตำแหน่งนั้นว่างก็จ้างข้าได้แท้ๆ เผลอๆข้าเรียกเงินเดือนถูกกว่าอีกนะ”
แค่ฟังก็รู้ว่าชายคนนี้ก็เป็นอีกหนึ่งคนหวังในตัวเจ้าของร้านอยู่ตลอด ก็เป็นที่น่าสงสารที่ไม่ว่าเขาจะมีร้านนี้บ่อยแค่ไหนเจ้าของร้านก็ไม่เคยแยแสเขาเลย
“ถ้าข้าพูดว่าตอนนี้ยังไม่ใช่คนรักก็อาจจะเป็นการให้ความหวังลมๆแล้งๆแก่ท่าน เพราะงั้นรับเหล้าสักจอกเป็นการย้อมใจจะดีว่า เดี๋ยวข้าเลี้ยงท่านเอง แต่เป็นความลับของเราที่ท่านห้ามไปบอกเจ้าของร้านเด็ดขาดนะ”
“ฮิโระจังนี่ยัง เอาใจคนเก่งเสมอเลยนะ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ดูเย็นชาเหมือนเมื่อก่อนแล้วชักจะถูกใจข้าเสียแล้วสิ”
“ขอบคุณท่านสำหรับคำชม เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ข้าทำให้ท่านคลายความทุกข์ใจได้บ้าง”
คำพูดรื่นหูเหล่านี้ออกจากปากของฮิโระอาคิโดยที่เขาไม่ได้คิดผูกพันธ์อะไรเลยด้วยซ้ำ มิหนำซ้ำการต้องพูดเอาอกเอาใจพวกที่ชอบลามปามโอคิคุกับเขาแบบนี้เกือบทุกวันก็ทำให้อดคลื่นไส้ไม่ได้
เมื่อมองด้วยสายตาของคนนอก โอคิคุกับคนครัวผู้นั้นดูจะสนิทสนมกันป็นพิเศษจนเหมือนคู่รักที่ภรรยาคอยสอนการครัวให้สามี ซึ่งในสายตาคนครัวก็เช่นกัน เขาก็มองว่าโอคิคุในตอนนี้เป็นเหมือนผู้หญิงของตนไปเสียแล้ว เขาไม่ยอมปล่อยให้โอคิคุคลาดสายตาไปไหนไกล เขาจะตั้งใจทำงานมากเมื่อโอคิคุสัญญาว่าจะไม่ออกไปหน้าร้านแล้วอยู่หลังร้านกับเขา ซึ่งตัวโอคิคุเองก็ไม่ได้เกี่ยงเพราะการที่ลูกน้องตั้งใจทำงานก็เป็นเรื่องดีสำหรับเจ้านายอยู่แล้ว นอกจากนี้เรื่องงานหน้าร้านก็วางใจให้เป็นหน้าที่ของฮิโระอาคิได้ เพราะเขาก็เคยทำงานร้านอาหารมาตั้งแต่เด็กๆ คงสามารถรับมือได้โดยไม่ติดขัดอะไร
ทุกคนต่างทำงานและเก็บเงินเก็บหอมรอมริบเป็นเงินเก็บไว้ใช้ในยามยาก คนครัวอดีตมนุษย์เดนตายผู้นั้นก็เช่นกัน ตอนนี้เขามิได้เสเพลดื่มเหล้าเคล้านารีเหมือนแต่ก่อน ก็แน่สิทั้งเหล้าทั้งนารีก็อยู่ในที่ซุกหัวนอนของเขาในตอนนี้ ทำไมเขาจะต้องเอาเงินที่ได้มาง่ายๆพวกนี้ไปเททิ้งที่อื่นด้วยล่ะ เขาตั้งใจเก็บเงินอย่างมีนัยยะสำคัญ ตลอดระยะเวลาที่เขาตัวติดกับโอคิคุในห้องครัว เขาก็คอยเล่าเรื่องชีวิตสุดรันทดของเขาให้เธอฟังเสมอ แต่ก็มิได้พลาดพลั้งหลุดเรื่องสัมพันธ์ของเขากับสาวเสิร์ฟคนั้นออกมาแม้แต่น้อย เธอก็มีการแสดงความเห็นอกเห็นใจออกมาบ้าง แต่ก็มิได้แสดงทีท่าว่าจะยื่นมือให้ความช่วยเหลือแบบเต็มที่เหมือนสตรีนางอื่นๆ ด้วยความที่บุคลิคของโอคิคุดูเป็นคนตระหนี่ เขาจึงคิดได้ว่า วิธีที่จะได้เธอมาคงไม่ใช่การใช้คารมหลอกล่อหรือทำตัวน่าสงสาร แต่คงต้องใช้เงินสู่ขอมาแบบที่ปกติชนเขาทำกัน เขาจึงตั้งใจทำงานเพื่อเก็บเงินก้อนมาสู่ขอเธอ เพื่อให้สามารถเอื้อมถึงสิ่งที่สูงค่ากว่านั่นคือตำแหน่งเถ้าแก่ของกิจการร้านแห่งนี้ แต่ก็ไม่ใช่หนทางที่จะราบรื่นขนาดนั้น เพราะยังมีพนักงานสาวรุ่นพี่ที่เขามองว่าเป็นก้างขวางคอของเขาอยู่ ถึงภายนอกจะดูเป็นคนสะสวย แต่ความรู้สึกบางอย่างในตัวผู้หญิงคนนั้นกลับทำให้เขารู้สึกอยากกำจัดเธอออกไปให้พ้นหูพ้นตา เส้นทางของเขาจะได้โรยด้วยกลีบกุหลาบโดยแท้จริง
คนครัวอดีตซามูไรผู้ไม่เคยขยันทำงานกลับขยันและทำงานอย่างตั้งใจ คงเนื่องจากเข้าใกล้บั้นปลายเต็มทีเขาจึงต้องสนองความทะเยอทะยานของเขาให้จงได้ ปลาทองตัวใหญ่ตัวนี้คงไม่อยากปล่อยให้หลุดมือ นอกจากงานหลังร้านที่เขาใช้ความตั้งใจตบตาโอคิคุเขาก็มักใช้โอกาสทีเผลอ ขโมยเหล้ายามชลมุนไปขายเองบ้างทำให้ได้เงินเป็นกอบเป็นกำ โดยที่ไม่มีใครสงสัย
และถึงคราวที่ความฝันของเขาเป็นจริง เขามีเงินก้อนมากพอที่จะมาสู่ขอโอคิคุ ทางด้านโอคิคุก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก หากมีเงินที่คุ้มค่ากับข้อเสนอเธอก็ไม่ขัด ตอนนี้เขาจึงมีตำแหน่งเป็นเถ้าแก่ของเจ้าของร้านคู่กับภรรยาของเขา ช่วงชีวิตบั้นปลายที่แสนจะราบรื่นกำลังจะเริ่มขึ้น สุรา ภรรยาสาวสะพรั่ง และการกำจัดก้างขวางคอต้องเกิดขึ้นทันที
เขาได้ใช้อำนาจการเป็นสามีเจ้าของร้านไล่ฮิโระอาคิออกและหาพนักงานสาวใหม่มารับช่วงต่อแทน ในตอนแรก โอคิคุก็คัดค้านหลังชนฝา แต่ฮิโระอาคิก็พูดว่าไม่เป็นไร การตัดสินใจเช่นนี้ของเถ้าแก่คงผ่านการพิจารณามาแล้วว่าการหาพนักงานที่สาวกว่า สวยกว่าคงจะสร้างประโยชน์ได้มากกว่า พนักงานหญิงที่หน้าตาเย็นชาอย่างหล่อน หลังจากนั้นฮิโระอาคิก็ได้จากร้านไปและไม่ได้เห็นวี่แววอีกเลย
เป็นที่หน้ายินดีของเถ้าแก่คนใหม่ ตัวน่ารำคาญใจได้หายไปแล้ว ชีวิตที่สดใสราบรื่นคงจะได้เริ่มต้นขึ้นจริงๆ ภรรยาสาวสวยเจ้าของร้านคนเก่งก็ช่างเป็นที่เชิดหน้าชูตาพอๆกับสมัยยังมีภรรยาเศรษฐีนี เงินเป็นกอบเป็นกำที่ได้จากธุรกิจร้านอาหาร อีกทั้งยังมีสุราไม่อั้นคอนเติมเต็มความเป็นผีสุราของเขา ช่างสุขสบายเหลือเกิน ชีวิตแบบนี้สิดี ถึงแม้ว่าจะยังไม่แก่ขนาดที่จะเรียกว่าบั้นปลายได้ แต่ก็คงไม่ต้องไปตามหานารีคนใหม่มาเคยบำเรอแล้ว เพราะขืนทำอะไรขัดใจโอคิคุคงถูกเฉดหัวเป็นแน่ โอากาสการนอนบนกองเงินกองทองกองสุราแบบนี้หาได้ยากยิ่งจึงไม่จำเป็นต้องแกว่งเท้าหาเสี้ยนให้ตัวเองเดือดร้อนอีกต่อไป
ร้านอาหารของสองสามีภรรยาก็ดูจะมีลูกค้ามาเรื่อยๆ แต่ก็ดูน้อยกว่าแต่ก่อนพอสมควรแต่ก็มิได้ทำให้เดือดร้อนอะไรมาก ลูกค้าเก่าหลายคนก็คอยถามหาฮิโระจังสาวเสิร์ฟยอดนักเอาใจแต่เมื่อนางไม่อยู่แล้วก็สร้างความผิดหวังไม่น้อย ทำให้เสียลูกค้าเก่ากลุ่มนี้ไปหลายคนอยู่
ชีวิตที่เหมือนจะปกติครั้งแรกของเถ้าแก่อดีตซามูไรผู้นี้ก็ดูเหมือนจะราบรื่นดี แต่พักหลังๆเหมือนโรคจะรุมเร้าเขาเป็นระยะ คงเพราะอายุที่เพิ่มขึ้นและโรคสุราจากในอดีตกระมัง ซึ่งโรคเล็กๆน้อยๆพวกนี้ก็คงไม่ได้มีปัญหากับชีวิตมากนัก เพราะเขาก็ถือเป็นคนที่แข็งแรงและตายยากคนหนึ่ง
แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด ในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน โรครุมเร้าเขาหนักขึ้นเรื่อยๆ ราวกับทุกอย่างถาโถมเข้ามาในคราเดียวกัน ตอนนี้เขาอายุเพียง60ปลายๆ แต่สภาพกับซูบผอมราวกับคนแก่ขี้โรควัย ใกล้ฝั่งเขาทุกข์ทรมานเหลือเกินราวกับถูกกัดกินพลังชีวิตไปเรื่อยๆให้ตายอย่างช้าๆ
ผิดกับทางฝั่งภรรยาสาวของเขา กลับดูไม่แก่ขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้ามตั้งแต่เขาล้มป่วยเธอกลับดูสาวขึ้นด้วยซ้ำ
ทำไมกันนะ
เป็นคำถามที่เขาถามตัวเองอยู่บ่อยๆ เขาพยายามคิดว่าอาจเป็นเพราะตัวเองแก่ลงอย่างรวดเร็วพอมองภรรยาสาวของตัวเองเลยเห็นว่าสาวขึ้นเป็นพิเศษ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเธอจะเป็นปีศาจแปลงกายมากัดกินพลังชีวิตเพื่อให้ตัวเองดูสาวดูสวยขึ้น
โอคิคุที่ดูจะมีความสุขดีก็ยังคงทำหน้าที่เจ้าของร้านอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ความสาวความสวยของเธอที่ไม่เคยลดลงก็กลายเป็นนจุดขายดึงดูดลูกค้าให้มาชมความงามของเธอ จนได้รับขนานนามว่า “ความสาวอมตะ” หล่อนค่อนข้างยุ่งกับงานจนไม่มีเวลาไปดูแลสามีที่ป่วยจนทำงานไม่ได้ ไม่สิ เธอเลือกที่จะทำงานให้หนักเพื่อที่จะไม่ต้องไปดูแลซากศพเสียมากกว่า ทำไมเจ้าของร้านที่มีภาระมากมายอีกทั้งยังทั้งสาวทั้งสวย ต้องไปเกลือกกลั้วกับของสกปรกกับอะไรแบบนั้นด้วยล่ะ ตัวเธอก็มิได้พิศวาสอะไรในตัวชายผู้นี้เลยแม้แต่น้อย ที่ยอมแต่งงานด้วยนี่ก็เพียงเพราะมีคนไว้วานให้เธอช่วยเตรียมการขั้นสุดท้ายให้เสร็จสิ้นเท่านั้น ไม่ใช่เพราะเรื่องเงินหรือหลงสเน่ห์ผู้ชายสกปรกผู้นี้แต่อย่างใด
ถึงโอคิคุจะไม่เคยพูด แต่สามีของเธอก็สัมผัสได้ถึงความรังเกียจในสภาพของตัวเอง ตัวเขาที่ถูกผู้หญิงที่เขาหวังจะใช้งาน เหยียบย่ำศักดิ์ศรีเช่นนี้ก็รู้สึกถูกหยามหน้าจนกว่าจะทนได้ อยากจะหนีออกจากชั้นสองคนร้านที่แสนจะอุดอู้เหมือนกรงขังสัตว์นี่เต็มทน ในขณะที่รู้สึกคับแค้นใจไร้ที่พึ่งอยู่นั้น ก็ทำให้เขานึกถึงที่พักพิงที่สุดท้ายที่เขามักจะกลับไปยามถังแตกในอดีต นั่นคือบ้านของเขาที่อยู่ห่างออกไปจากตัวหมู่บ้านนั่นเอง
วันสุดท้ายที่เขาตัดสินใจจะอยู่ที่บ้านหลังนี้เขาได้มีปากเสียงกับโอคิคุก่อนที่จะระเห็ดออกมาอย่างทุลักทุเล แบกสังขารอันแห้งเหี่ยวพร้อมของติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้นที่ยังสามารถมีแรงแบกมาได้
ตัวเขาทั้งสิ้นหวังทั้งคับแค้นใจ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสภาพบ้านตอนนี้เป็นอย่างไร บ้านที่ไม่เคยได้กลับไปเลยหลายสิบปี คงจะมีสภาพดังบ้านร้างแต่ตัวเขาที่สภาพเหมือนผีแบบนี้ก็คงไม่มีทางเลือก ดีไม่ดีสภาพแบบบ้านร้างอาจจะเหมาะกับเขาในสายตาคนอื่นก็เป็นได้
สังขารอันแห้งเหี่ยวพาตัวเองมาจนถึงที่ตั้งของบ้านที่ควรจะเป็นบ้านของเขา แต่สภาพเบื้องหน้าที่เขาเห็นกลับทำให้เขาตกใจและงุนงง
บ้านที่ไม่มีใครอยู่มานานนับสิบๆปี กลับมีสภาพเดิมเหมือนตอนที่ภรรยาคนแรกของเขาที่คอยปัดกวาดเช็ดถูก ทำสวนและทำอาหารรอเขาอยู่ก็ไม่ปาน
เขาคิดว่าเขาอาจจะหลอนเพราะอาการป่วย เขาจึงใช้พลังเฮือกสุดท้ายพาตัวเองเข้าไปในบ้าน และเขาก็พบว่าเขาไม่ได้หลอนไปเอง บ้านหลังนี้ยังเหมือนเดิม ทั้งสะอาดและราวกับรอให้ผู้อาศัยกลับมา
กลิ่นอาหารที่คุ้นเคยลอยมาตามลม
เขาถึงกับอุทานชื่อของภรรยาเก่าที่ตายไปนานแล้วขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“มิโคโตะ”
แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ มีแต่เพียงเสียงฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามา
ดวงตาที่พร่ามัวมองไม่เห็นอะไรมากนัก รู้แต่ว่าเจ้าของฝีเท้ามาหยุดที่ตรงหน้าของเขาแล้วช่วยแบกร่างของเขาไปยังห้องที่เขาเคยใช้เป็นรังรักหยามเกียรติภรรยาของเขา ทำกับเธอราวกับเป็นเพียงตุ๊กตาประดับบ้าน
เขาไม่รู้ว่าคนที่พาเขามาที่นี่เป็นใคร สายตาของเขาเห็นเพียงแค่ชุดกิโมโนสีหม่นที่คุ้นเคยเหลือเกิน ไม่มีแรงแม้แต่จะยกศรีษะขึ้นมามองหน้าของสตรีผู้นั้น
ร่างของเขาถูกวางลงบนพื้นห้องอย่างเบามือ
ข้างหน้าของที่ที่เขานอนอยู่มีอาหารสี่ที่วางอยู่
“นี่คืองานเลี้ยงตอนรับการกลับมาของเจ้าของบ้านเชิญเลือกอาหารของท่านได้เลย”
เสียงของผู้หญิงที่คุ้นเคยกระซิบที่ข้างหูของเขา
มีอาหารสามที่หน้าตาเหมือนกันและอีกหนึ่งที่ที่แปลกไปจากจานอื่น ภาพนี้มันช่างคุ้นตาเสียจริง เหมือนกับเคยเห็นเมื่อนานมาแล้วต่างตรงที่อีกจานนั้นดูแปลกไป
อาหารที่อยู่ตรงหน้าของเขาช่างเหมือนอาหารที่ภรรยาของเขาทำเพื่อรอเข้ากลับมาเป็นประจำ ไม่เว้นแม้แต่วันที่พาผู้หญิงไม่ซ้ำมามากพลอดรักที่นี่
“ที่นี่มีคนอยู่ด้วยกันสี่คน” เสียงผู้หญิงดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ภรรยา สามี ชู้รัก และ ลูกบุญธรรม”
เสียงที่เรียบเฉยแล้วดูเยือกเย็นเปลี่ยนโทนเสียงไปตามแต่ละคำที่พูดในวลีที่เสียงดังกล่าวพูดมีทั้งเสียงของมิโคโตะ ภรรยาคนแรก เสียงของเขา เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาเคยมีสัมพันธ์ด้วยและเสียงของเด็กที่เขาไม่ได้ยินเสียนานจนเกือบลืมว่าเป็นใคร
เขาทั้งตกใจและสงสัยเขารวมรวมพลังเฮือกสุดท้ายเพื่อที่จะเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของเสียงที่ตอนนี้เปลี่ยนอริยาบทมานั่งยองๆเพื่อจ้องมองเข้าอยู่ตรงหน้า
ภาพที่เขาเห็นถึงแม้ว่าจะมองเห็นลางๆก็ทำให้เขาถึงกับระเบิดคำพูดออกมาโดยลืมไปว่าพลังชีวิตของตัวเองเริ่มร่อยหรอเต็มที
“เจ้าจิ้งจอกปลิ้นปล้อน นังผู้หญิงนั่นเลี้ยงงูพิษให้มาทำลายข้า”
คนที่อยู่ตรงหน้าเขาคือชายหนุ่มผมเงินที่เขาคุ้นหน้าดีในรูปลักษณ์ของปีศาจจิ้งจอกสีหน้าเรียบเฉยกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชาที่แฝงไปด้วยคนสมเพชเวทนา ราวกับเขาเป็นเพียงของเล่นผุพังที่รอการทำลาย
“ข้าไม่ได้ปลิ้นปล้อนหรอกท่าน ตัวข้าตั้งใจจะฆ่าท่านจากใจจริง ”
“โดยที่มือของข้าไม่ต้องเปื้อนเลือดสกปรกของท่านด้วยซ้ำ”
พูดจบจิ้งจอกผมเงินก็หายวับไปราวกับอากาศ ทิ้งชายสภาพดังซากศพไว้พร้อมกับอาหารสี่ที่ที่วางไว้ราวกับการเซ่นไว้คนตาย
คำพูดที่กล่าวว่า งานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของเจ้าของบ้าน กลายเป็นเหมือนคำที่ตอนรับให้วิญญาณเรร่อนเข้ามาสู่ประตูแห่งโลกคนตายก็ไม่ปาน
ไม่มีใครพูดถึงเถ้าแก่ร้านเหล้าที่หายตัวไปอีก ไม่มีการตามหาตัว เพราะว่าเป็นญาติพี่น้องก็ไม่ใช่ ไม่เคยเป็นมิตรสหายอันดีกับใคร อีกทั้งยังสร้างเรื่องหลอกลวงไว้มากมาย การหายตัวไปของเขานั้นเหมือนจะเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ
มีชาวบ้านเล่าว่า ตอนออกไปหาของป่าแล้วกลับมายาวพลบค่ำ มักได้ยินเสียงกรีดร้องเหมือนสัตว์ป่าใกล้ตายหรือไม่ก็คล้ายเสียงผีสางเสียมากกว่า ออกมาจากบ้านชายป่าที่ห่างออกมาจากตัวหมู่บ้าน ลือกันว่าอาจจะเป็นสัมภเวสีเรร่อนที่เข้าไปสิงสู่ในบ้านร้างหลังนั้นก็เป็นได้ เพราะหลังจากที่มิโคโตะตายไปบ้านหลังนั้นก็มีสภาพเหมือนบ้างร้าง ต้นไม้ขึ้นรกและผุพังไปตามกาลเวลา
จบ