เรื่องราวที่ไม่อยากนึกถึง บทที่3|จบ

เรื่องราวที่ไม่อยากนึกถึง บทที่3

hiro5.jpg

บทที่1  บทที่2 

ณ ร้านเหล้าเล็กๆในหมู่บ้านบนเกาะอาโอโมริ

ร้านเหล้าร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ที่สืบทอดมายังรุ่นสู่รุ่น จนปัจจุบันมีผู้สืบทอดเป็นลูกสาวของเถ้าแก่คนก่อน ร้านนี้ดูเป็นร้านเล็กๆก็จริง แต่มีลูกค้าเข้าออกไม่ขาดสายตั้งแต่เปลี่ยนมือมา การปากต่อปากของเหล่าลูกค้าชายที่ชอบแวะเวียนมาที่เอ่ยถึงสเน่ห์ของเจ้าของร้านเป็นเสียงเดียวกัน โดยเฉพาะช่วงนี้ที่มีเด็กเสิร์ฟสาวๆมาคอยเป็นสิ่งเชิญชวนเหล่าลูกเค้าชายราวกับการแวะมาเชยชมงานเทศกาลชมดอกไม้ก็ไม่ปาน

“อาเจ๊ช่วงนี้อู้ฟู่น้า ถึงขนาดจ้างเหล่าดอกไม้งามมาเป็นสาวเสิร์ฟได้เนี่ย ” ลูกค้าชายที่แวะมาอุดหนุนร้านจนกลายเป็นขาประจำทักเจ้าของร้านขึ้นมาอย่างสนิทสนม

“แล้วฉันไม่เป็นดอกไม้งามหรอฮึ”

“แหม่ท่าน อิเคบานะน่ะ มันก็ต้องมีดอกที่เป็นตัวชูโรง และมีดอกบริวารทำให้ดูเด่นขึ้นใช่ไหมล่ะ ท่านก็เปรียบเหมือนตัวชูโรงนั้นและ ส่วนสาวๆทั้งสองก็เหมือนดอกประดับที่ทำให้ท่านดูโดดเด่นขึ้นยังไงล่ะ”

“พูดได้ดีแต่ไม่ได้กินฟรีหรอกนะ”

เหมือนว่าคำยกยอของลูกค้าผู้นี้จะไม่ได้ทำให้เธอใจอ่อนสักเท่าไร หรือไม่ก็เธอก็คงจะมองเจตนาของเขาออกตั้งแต่อ้าปากก็เป็นได้

“ว้า…. แต่ท่าน จ้างแต่สาวเสิร์ฟเพิ่มเพราะลูกค้าเยอะ ไม่คิดจะจ้างคนช่วยหลังร้านบ้างรึ นี่ๆ ถ้าตำแหน่งว่างเรียกข้ามาทำงานได้นะ”

“อยากกินเหล้าฟรีสิไม่ว่า ส่วนตำแหน่งนั้นน่ะ..มีคนจองไปแล้วล่ะ…ถึงแม้ว่า…”

เจ้าของร้านชะงักก่อนจะพูด เพราะเธอคิดได้ว่าการเลือกที่จะไม่พูดออกไปนั้นย่อมดีกว่า

“อาเจ๊นี่รู้ทันข้าตลอดเลย หืม แม้ว่า?” ชายหนุ่มถามต่อด้วยทีท่าสงสัย

“ช่างเถอะ”

“ว่าแต่เจ๊ไปหาเหล่าดอกไม้งามสองคนนี้มาจากไหนน่ะ คนนึงข้ายังพอคุ้นหน้า ส่วนแม่สาวผมดำคนนั้นน่ะ ไม่คุ้นเลย”

“…หล่อนไม่ใช่คนแถวนี้น่ะ”

“อ้อถึงว่า แต่หน้าตาก็สะสวย เสียอย่างเดียวดูไร้อารมณ์ไปนิดนะ”

“หล่อนก็เป็นของหล่อนแบบนี้มาตั้งนานแล้วน่ะนะ”

“งั้นรึ แต่ก็ดูเอาใจเก่งพอสมควรเลย เป็นที่ถูกใจของลูกค้าแก่ๆเลยทีเดียว”

 “ไม่ถูกใจเจ้ารึ”

“ข้าชอบแแบบท่านมากกกว่าน่ะ”

“ไม่ได้กินฟรีหรอกนะ”

“ว้า”

เจ้าของร้านค่อนข้างรับมือได้ดีกับพวกลูกค้าชายผู้ชอบประจบประแจงหวังกินฟรี แน่นอนว่าร้านเหล้าแบบนี้เป็นที่สุมหัวของคนหลายประเภทนัก การที่จะเจอพวกกะชักดาบ หรือหว่านสเน่ห์ปากหวานหวังกินฟรีก็พบได้ทั่วไป

และดูเหมือนว่าจะมีลมที่หอบคนประเภทที่เรียกได้ว่าน่ารังเกียจมาได้เรื่อยๆ คนจำพวกที่เกาะผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าถึงแม้ว่าภรรยาของตนจะพึ่งตายก็ตาม หลอกใช้จนหมดตัวแล้วค่อยเปลี่ยนเหยื่อคนใหม่ ผู้ชายที่ปลิ้นปล้อนจนทำให้เผลอคิดไปว่าอาจจะเป็นพวกปีศาจแปลงกายมาก็เป็นได้ หรืออาจจะเป็นเพียงแค่มนุษย์ที่เลวราวกับปีศาจที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อหญิงสาวก็ว่าได้

ชายที่ถูกตราหน้าว่าเลวเหมือนกับปีศาจผู้นั้นปรากฏตัวที่ร้านเหล้าแห่งนี้เป็นประจำ ตั้งแต่รุ่นเถ้าแก่คนก่อน ถึงแม้ว่าเจ้าของร้านสาวผู้นี้จะไม่ค่อยถูกชะตากับเขามาแต่ไหนแต่ไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ เพราะยังไง ลูกค้าก็คือพระเจ้าผู้หอบกองเงินกองทองมาให้ ถึงแม้ว่าเงินทองนั้นจะสกปรกแค่ไหนก็ตาม

และวันนี้เป็นเป็นอีกวันที่ชายผู้นี้ปรากฏตัวพร้อมผู้หญิงคนใหม่อีกครั้ง

ม่านหน้าร้านถูกแหวกออกเป็นสัญญาณการมาของลูกค้า เผยให้เห็นชายวัย 50ปลายๆ เข้ามาพร้อมหญิงสาวอายุราวๆ30 แต่งตัวแบบผู้ดีเดินเข้ามาพร้อมกัน

เป็นหน้าที่ของเด็กเสิร์ฟที่ต้องมาต้อนรับลูกค้าเพื่อพาไปสู่ที่นั่ง สาวเสิร์ฟผมดำที่เผอิญว่างจากการเสิร์ฟอาหารเดินมาเพื่อทำหน้าที่ต้อนรับ ปกติสาวเสิร์ฟผู้นี่จะไม่ค่อยมาทำหน้าที่เป็นพนักงานต้อนรับสักเท่าไรนัก เพราะสีหน้าที่เรียบเฉยไร้อารมณ์ของเธอช่างดูไม่รับแขกเสียเหลือเกิน แต่วันนี้นั้นต่างออกไปจากหน้าเรียบเฉยแปรเลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มตอนรับที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนรอยยิ้มแสนอบอุ่นที่เชื้อเชิญและจับลูกค้าได้อยู่หมัด แต่เมื่อเธอลืมตา สายตาคมกริบราวกับสายตาของนักล่าที่มองเหยื่อ

บรรยากาศเปลี่ยนไปจนคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆสัมผัสได้ หากปล่อยไว้เช่นนี้ไม่เป็นการดีแน่ ในฐานะเจ้าของร้านจึงต้องรับผิดชอบการกระทำที่เสียมารยาทต่อลูกค้าของลูกน้องทันที

“ยินดีต้อนรับค่ะคุณลูกค้าสองที่เหมือนเดิมนะคะ”

เจ้าของร้านรีบเข้ามาแยกสาวเสิร์ฟผู้นั้น ก่อนจะวางผ้าเช็ดหน้าลงบนหัวเธอพร้อมกับกระซิบว่า

“กลับเข้าไปหลังร้าน ไปสงบสติซะ”
“ถ้าความแตก ไม่ใช่แค่ท่านที่จะเดือดร้อน”

หญิงสาวเดินเข้าไปตามคำสั่งของเจ้าของร้านอย่างว่าง่าย เข้าไปในห้องของเธอลงกลอนอย่างเรียบร้อย ผ้าเช็ดหน้าที่คลุมหัวของเธอตกลงตอนเธอก้มหน้าเพื่อลงกลอน เผยให้เห็นหูจิ้งจอกสีเงินสะท้อนกับแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างเล็กๆเป็นประกาย

“ต่อให้แก่แค่ไหนก็ไม่เคยทิ้งลายสินะ”
“แต่ก็ดี ทุกอย่างจะได้ง่าย”
หญิงสาวพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่แฝงไปด้วยแรงอาฆาต

ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกสติหญิงสาวให้หลุดขึ้นมากจากภวัง
ด้วยกลิ่นที่คุ้นเคยหล่อนรู้ทันทีว่าคนที่เคาะประตูคือเจ้าของร้าน

“ข้าไม่เป็นไรแล้วขอโทษที่ทำให้เดือดร้อน วันนี้ข้าจะทำหลังร้านตามหน้าที่ของข้าที่เจ้าจ้างข้ามา โอคิคุ”

“ก็ดี….นี่เป็นรอบหลายเดือนที่ท่านเจอผู้ชายคนนั้นครั้งแรก ไม่แปลกที่ท่านจะควบคุมความโมโหไว้ไม่ได้ ท่านฮิโระอาคิ ไม่สิตอนนี้ต้องเรียกฮิโระจังสินะ”

สิ้นสุดคำพูดของเจ้าของร้าน ประตูเปิดออกเผยร่างของมนุษย์ชายหนุ่มผมสีเงิน ยืนอยู่ด้านหลังของประตู

“เจ้าจะเรียกอะไรก็แล้วแต่สบายใจ ข้าสัญญาว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก” เขาพูดด้วยเสียงเรียบเฉย เรียบเสียจนไม่สามารถเดาได้ว่าในหัวของเขาคิดอะไรอยู่กันแน่

“ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกข้าได้..”

โอคิคุค่อนข้างเป็นห่วงเพื่อนสมัยเด็กของเธอการเหตุผลที่เธอจ้างเขามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อทำงานแต่เพื่อที่จะได้ลืมๆเรื่องราวในอดีตไปบ้าง แต่เหมือนเธอจะหลงลืมไปว่าร้านของเธอเนี่ยแหละคือสถานที่ที่เกิดการปะทะได้มากที่สุด จนตอนนี้กลายเป็นว่าความรู้สึกผิดเริ่มพรั่งพรูเข้ามาในใจของเธอ

“ขอบคุณในความกรุณาของเจ้า เสียเวลาเป็นเงินเป็นทอง เจ้ากลับไปทำงานหน้าร้านเถอะ ข้าจะรับผิดชอบหน้าที่ที่ข้าละเลยมานานข้างหลังร้านนี่เอง”

โอคิคุพยักหน้ารับแล้วหันหลังกลับไปทำหน้าที่เจ้าของร้านของตนต่อ

“หน้าที่…ท่านก็เห็นอยู่ว่าจริงๆแล้วหลังร้านมันไม่มีงานให้ทำ…” เธอพึมพำกับตัวเอง

ปรกติแล้วหน้าที่หลังร้านจะมีเพียงแค่จัดวัตถุดิบที่จะมาใช้ทำเครื่องเคียงซึ่งทำเตรียมไว้ตั้งแต่เช้าแล้วค่อยนำไปจัดทำต่อที่หน้าร้าน และการเคลียร์ของที่เหลือในช่วงเย็น ดังนั้นช่วงบ่ายๆแบบนี้ที่ข้างหลังร้าน จะไม่มีอะไรให้ทำเท่าไร ดังนั้นการที่บอกว่าจะรับผิดชอบหน้าที่ที่ละเลย คงเป็นเพียงแค่การนั่งสงบสติอารมณ์ก็เป็นได้

ฮิโระอาคิเป็นผู้ชายที่เรียกได้ว่าค่อนข้างใจเย็นมาตลอด ต้องพูดว่าเฉื่อยชาจนดูเหมือนคนใจเย็นมากกว่า แต่ก็ยังมีความกระตือรือร้นอยู่บ้าง จนกระทั่งคนสำคัญที่สุดของเขาเสียชีวิตไป นิสัยของเขาก็ค่อนข้างเปลี่ยนไปพอสมควร เขากลายเป็นคนเดนตายไปช่วงหนึ่งก่อนที่โอคิคุจะไปช่วยเรียกสติคืนมาได้ แต่จากที่ปกติไม่ค่อยที่จะเลือดร้อนหรือโมโห ตอนนี้เมื่อพูดถึงตัวการที่ทำให้ชีวิตครอบครัวของเขาพัง เขาก็จะกลายเป็นคนเลือดร้อนขึ้นมามากกว่าปกติ ถึงแม้ว่าสีหน้าจะไม่แสดงออกมาแต่ถ้ามองแววตาของเขาก็สามารถอ่านออกได้ทันที นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เขาได้พบกับชายคนนั้นอีกครั้ง จนทำให้เกือบเผลอเผยร่างที่แท้จริงออกไป

ถ้ามนุษย์รู้ถึงความลับของจิ้งจอก คงจะต้องวุ่นวายเป็นแน่

และก็ผ่านไปอีกวันสำหรับร้านเหล้าแห่งนี้

ร้านเหล้าแห่งนี้เปิดตั้งแต่ช่วงเที่ยงไปจนถึงตีสอง และต้องออกไปซื้อวัตถุดิบในตอนเช้าตรู่ทุกวัน

ตอนนี้เป็นเวลาตีสอง โอคิคุเดินกลับเข้ามาหลังร้านอย่างเหนื่อยๆ แต่ดูเหมือนจะเหนื่อยใจเสียมากกว่าเหนื่อยกาย

 

“ชายคนนั้นเกี้ยวข้าล่ะ ต่อหน้าผู้หญิงที่พามาเลย สุดยอดจริงๆนะ ปลิ้นปล้อนเสียยิ่งกว่าจิ้งจอกอีก” โอคิคุพลางถอนหายใจ

“ข้าไม่เคยปลิ้นปล้อนแบบนั้นกับใคร” น้ำเสียงของฮิโระอาคิฉุนเฉียวกว่าปกติขึ้นเล็กน้อย

“ข้าไม่ได้ว่าท่านซักหน่อย ข้าหมายถึงส่วนใหญ่น่ะ”

“ก็แล้วแต่เจ้าจะคิดแล้วกัน”

แน่นอนผู้ชายที่โอคิคุกำลังพูดถึงคือ อดีตซามูไรผู้ปลิ้นปล้อนอดีตสามีของมิโคโตะแม่บุญธรรมของฮิโระอาคิที่ตอนนี้กลายเป็นสามีของเศรษฐีนีสาวไปเสียแล้ว แต่ก็คงได้ไม่นานหรอก เมื่อสิ้นทรัพย์สินเขาก็ของไปจับเหยื่อรายใหม่ต่อไม่จบสิ้น ช่างเป็นคนวัยกลางคนที่ไม่รู้จักเจียมตัวเสียจริง แต่ก็ต้องยอมรับในตัวผู้ชายคนนี้ ที่สามารถอยู่รอดมาได้ด้วยคารมที่ทำให้ญิงสาวติดกับมานักต่อนัก ในอดีตอาจจะมีเรื่องเงินตราเข้ามาเกี่ยว แต่ด้วยประสบการณ์ที่เขาลับมาจนคมกริบ ตอนนี้แค่คำพูดประจบประแจงเพียงไม่กี่คำของเขาก็ทำให้ สตรีผู้อ่อนต่อโลกตกหลุมพรางได้อย่างง่ายได้

“แต่ว่าคารมของชายผู้นั้นนี่ สูสีพอๆกับท่านเลยนะ”

“ทำไมเจ้าถึงชอบยั่วโมโหข้าไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”

“ข้าไม่ได้จะยั่วโมโหท่าน ข้าแค่พูดให้ฟัง แต่ว่าการพูดของเขานั้นดูจะแฝงไปด้วยเจตนาลวงหลอกเสียมากกว่า แต่ก็คงทำให้พวกมนุษย์สาวๆหลงกันได้พอสมควร”

“แล้วเจ้าหลงไหมล่ะ”

“ข้าหลงท่านมากกว่าน่ะ”

และบทสนทนาของทั้งคู่ก็จบลงประมาณนี้เสมอแม้ว่าเวลาจะผ่านมานานขนาดไหน ถึงโอคิคุจะเบื่อความเฉยชาของฮิโระอาคิบ้างในบางที และตอนนี้ผู้ชายคนนี้ก็ดูจะเหมือนคนแก่ขี้หงุดหงิดมากกว่าผู้ชายปากหวานที่เธอเคยรู้จัก แต่เธอก็ยังชื่นชอบเขาอยู่ดี ถ้าพูดถึงระดับความชื่นชอบในตัวฮิโระอาคิของโอคิคุแล้วล่ะก็ ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา เพียงแค่เขาปริปากขอ เธอก็คงจะยอมทำตามได้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นฮิโระอาคิก็ไม่เคยปริปากขอให้อะไรโอคิคุเป็นพิเศษ

หลังจากทีอดีตซามูไรผู้นั้นคบกับเศรษฐีนีสาวต่างเมือง เขาก็จะมาที่ร้านนี้เพียงอาทิตย์ละครั้งหรือบางทีอาจจะเว้นช่วงยาวกว่านั้น นี่คงจะเป็นช่วงสร้างความไว้ใจให้แก่ถังทองที่จับมาได้ในครานี้กระมัง อีกไม่นานก็คงกลับมาถลุงเงินทองอีกเป็นแน่ อีกทั้งในตอนนี้ร้านเหล้าแห่งนี้มีพนักงานเสิร์ฟสาวเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง(บวกหนึ่ง)คน ไหนเจ้าของร้านรุ่นนี้ยังเป็นสาวสะพรั่งอีก ก็ดูจะเป็นที่ถูกอกถูกใจไม่เบา

หน้าที่ของฮิโระอาคิโดยปกติจะแปลงเป็นสาวเสิร์ฟมาช่วยงานหน้าร้านหลังจากที่จัดการกับหน้าที่หลังร้านเสร็จแล้ว จริงๆแล้วเขาค่อนข้างในรับความนิยมจากเหล่าลูกค้าชายโดยเฉพาะพวกลูกค้าแก่ๆเพราะคำพูดที่ดูเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ ทั้งๆที่จริงๆแล้วเจ้าตัวก็พูดออกมาโดยไม่ทันคิดด้วยซ้ำ แต่จะไม่ค่อยไปรับลูกค้าเท่าไรนักเนื่องจากมักโดนติงมาว่าหน้าตาไม่ค่อยต้อนรับลูกค้าเสียเหลือเกิน แต่ทุกครั้งที่อดีตซามูไรเจ้ากรรมมาที่ร้านเขาจะถูกโอคิคุไล่มาหลังร้านเสมอ ทั้งๆที่เขาก็ยืนกรานแล้วว่าจะไม่ทำให้ความลับแตกแน่ๆ แต่โอคิคุก็อยากเลี่ยงการปะทะให้มากที่สุด

กิจการร้านเหล้าของโอคิคุดำเนินไปอย่างราบรื่น ลูกค้าก็แวะเวียนมาเรื่อยๆ สาวเสิร์ฟในร้านทั้งสองเพียงประจบลูกค้านิดๆหน่อยก็ได้ทิปเป็นค่าพิศวาสเล็กๆน้อยๆติดไม้ติดมือเสมอ บางทีก็เจอลูกค้าแก่ๆกระเป๋าหนักจ่ายให้อย่างงามเมื่อเอาใจพวกเขาได้ จนบางทีสาวเสิร์ฟอาจจะมีเงินมากกว่าเจ้าของร้านด้วยซ้ำ เพราะไม่ต้องเจียดเงินไปซื้อเหล้าซื้อวัตถุดิบเข้าร้านเลย

สาวเสิร์ฟอีกคนนอกจากฮิโระอาคิเป็นลูกสาวของร้านขายผักใกล้ๆกันที่เบื่อกิจการของที่บ้านเลยมาทำงานกับโอคิคุเพื่อหาอะไรเปิดหูเปิดตาบ้าง แต่อีกไม่นานก็ต้องลาออกไปแต่งงานกับชายต่างเมืองที่มาสู่ขอ เวลาของเธอในร้านนี้ก็เริ่มน้อยลงทุกวัน สมาชิกในร้านที่เหลืออีกทั้งสองคนคือ โอคิคุกับฮิโระอาคิในคราบของผู้หญิงก็ได้เตรียมการเล็กๆน้อยๆเพื่อเป็นการเลี้ยงส่งเธอ ก่อนที่จะต้องมารับหน้าที่หนักขึ้นกับการจัดการร้านเพียงสองคน

เมื่อเข้าสู่ช่วงนับถอยหลังเพื่อเข้าสู่งานเลี้ยงส่งสาวเสิร์ฟ เธอกลับมาทำงานน้อยลงซึ่งโดยปกติแล้วเธอไม่เคยลาหยุดเลยสักครั้ง ซึ่งทั้งสองก็เข้าใจได้เพราะอาจจะต้องเตรียมตัวสำหรับพิธีแต่งานและการจัดข้าวของ แต่เรื่องราวดันไม่ใช่อย่างที่รุ่นพี่ทั้งสองคิดไว้ ในวันสุดท้ายของการทำงานเธอกลับมาที่ร้านในเวลาก่อนที่ร้านจะปิด ดวงตาบวมเป่งเพราะการร้องไห้ติดต่อกันเป็นเวลานานสร้างความตกใจให้กับโอคิคุและโอโระอาคิ

หล่อนบอกเล่าเรื่องราวให้เหล่ารุ่นพี่ที่เธอไว้ใจฟัง แล้วก็เป็นไปตามคาด มีเพียงไม่กี่คนที่เป็นปีศาจคอยกัดกินชีวิตของหญิงสาววัยแรกรุ่นแบบนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอดีตซามูไรจอมปลิ้นปล้อนคนเดิม เธอเล่าว่าเรื่องเริ่มขึ้นหลังจากการพบเจอกับชายผู้นั้นในขณะทำหน้าที่ในร้าน เขาให้ทิปเธอมากเป็นพิเศษกว่าลูกค้าคนใด เขาจะถามเสมอว่า วันนี้ลูกค้าคนไหนให้เงินเธอมากที่สุด เขาจะให้มากเป็นสองเท่าและครั้งถัดๆมาก็จะให้เงินมากขึ้นเรื่อยๆ เธอมองเพียงแค่ว่าเขาเป็นชายกลางคนใจกว้างคนหนึ่ง วันหนึ่งชายผู้นี้มาที่ร้านเพียงคนเดียว ไม่ได้มากับภรรยาเหมือนเคย ระหว่างจิบสุราเขาก็เชิญเธอมานั่งคุยด้วย ถึงแม้ว่าเธอจะปฏิเสธไปว่าเป็นเวลางานแต่เขาก็ยังยืนกรานที่จะสนทนากับเธอให้ได้ ด้วยความเป็นลูกค้าเธอจึงไม่กล้าที่จะปฏิเสธเขามากไปกว่านี้ บทสนทนาจึงเริ่มต้นขึ้น อาจจะถูกขัดด้วยการที่เธอต้องไปทำหน้าที่ต่อ แต่ก็ต้องเดินกลับมาสนทนากับเขาเรื่อยๆจนเขาออกจากร้านไป ช่วงเวลาที่สนทนากับชายผู้นั้นเป็นช่วงเวลาที่สนุกมาก เหมือนได้พูดคุยกับชายผู้เข้าอกเข้าใจเธอ รับฟังเรื่องราวทุกอย่าง ต่อบทสนทนาได้อย่างลื่นไหลพูดคุยด้วยแล้วสบายใจยิ่งนัก เหตุการเช่นนี้เกิดขึ้นติดต่อกันอยู่หลายเดือน บางครั้งเธอก็ถามถึงภรรยาของเขา แต่เขาก็ได้แต่ตอบว่า ช่วงนี้หล่อนท้องเลยออกมาเที่ยวเล่นไม่ได้เหมือนแต่ก่อน เธอจึงไม่ได้รู้สึกสงสัยอะไร

จนกระทั่งหลังจากนั้นไม่กี่เดือน เขาได้บอกว่าภรรยาของเขาได้เสียชีวิตลงตอนคลอดลูกและลูกของเขาก็ได้จากไปพร้อมกับภรรยา สภาพของเขาดูเหมือนคนที่เสียใจจากใจจริง เธอจึงยอมเป็นเพื่อนที่คอยฟังการระบายความเศร้าของเขา เขาพูดถึงเรื่องราวของเขาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

จากปากของผู้ชายผู้นั้นเล่าว่าในอดีตเขาเคยมีภรรยาที่อ่อนกว่าเขาเกือบสิบปีได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขมาโดยตลอด จนกระทั่งเธอไปรับลูกบุญธรรมมาเพราะเธอไม่สมารถมีลูกได้ เธอก็เริ่มเปลี่ยนไป เธอสนใจเขาน้อยลง ความรักที่เคยมีให้ก็ลืมจืดจาง เขาจึงต้องพึ่งน้ำเมาเพื่อย้อมใจ บ้านช่องจึงไม่ค่อยได้กลับ เตรดเตร่ หาที่พักใจไปเรื่อยแล้วจึงไปทำงานในวันถัดไป จนกระทั่งถึงคราวเคราะห์ร้าย ต้องตกงานเพราะเจ้านายกลั่นแกล้ง เขาจึงกลับไปอยู่บ้านที่ไม่ได้กลับมาหลายปี พบว่าลูกบุญธรรมที่กลายเป็นหนุ่มกลายเป็นชู้รักของภรรยาตัวเอง และแข็งกร้าวออกปากไล่ตนออกจากบ้านจนต้องระเห็ดระเหินและได้มาเจอกับภรรยาของตนที่พึ่งเสียไปตอนนี้ แต่ได้ข่าวว่าหลังจากนั้นเกือบๆสิบปีอดีตภรรยาของตนก็เสียชีวิตด้วยอาการป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุทั้งๆที่อายุเพียงแค่สี่สิบต้นๆ ก็สันนิษฐานกันว่าอาจจะถูกวางยาพิษก็เป็นได้…

“พอเถอะข้าไม่อยากฟังแล้ว ขอตัว”

ฮิโระอาคิพูดขัดขณะที่รุ่นน้องสาวเสิร์ฟกำลังเล่าเรื่องก่อนจะเดินไปที่หลังร้านโดยไม่พูดอะไรอีก

โอคิคุได้ยินแค่เสียงก็รู้เลยว่าเขาคงจะกลั้นความรู้สึกอยากจะอาเจียนต่อเรื่องราวของชายผู้นั้นมากแค่นั้น มีแค่คำโกหกพกลมเต็มไปหมด อีกทั้งยังป้ายสีมิโคโตะภรรยาเก่าและตัวฮิโระอาคิอีกด้วย ครั้งนี้โอคิคุไม่ได้ตามฮิโระอาคิไป เธอคิดว่าปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวจะดีเสียกว่า ดีไม่ได้ ขืนเข้าไปตอนนี้เธอนั่นแหละที่จะเดือดร้อน…

“รุ่นพี่ฮิโระเป็นอะไรหรอคะ” สาวเสิร์ฟรุ่นน้องถาม

“เรื่องนี้มันคงสะเทือนใจเขาพอสมควรเลยนะ ถึงแม้ว่าเขาจะดูเป็นคนเฉื่อยชา แต่จริงๆแล้วเขาละเอียดอ่อนกว่าทีเราเห็นนะ ให้เขาไปพักเถอะวันนี้ก็ทำงานเหนื่อยทั้งวัน เจ้ามีเรื่องอะไรจะระบายก็พูดต่อเถอะ”

ได้ยินดังนั้นหญิงสาวจึงเล่าเรื่องราวต่อ ชายผู้นั้นกล่าวว่าภรรยาคนปัจจุบันของเขาเป็นเศรษฐีนีต่างเมืองใจบุญที่เห็นสภาพอันน่าสังเวชของตน จึงรับตนมาทำงานเป็นที่บ้านของเธอ หลังจากที่เธอได้ฟังเรื่องอันแสนปวดร้าวของเขาเธอก็สงสัยเขาจับใจให้การดูแลเขาเป็นอย่างดี จนสุดท้ายเกิดรักกันและแต่งงานกันในที่สุด แต่ก็โดนโชคร้ายที่เธอกลับต้องมาเสียชีวิตลงพร้อมเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง ตอนนี้เขาโศกเศร้ามากเขาไม่เหลือใครไม่เหลืออะไรเพราะเงินทั้งหมดของภรรยาก็ไม่ใช่ของเขา เขาถูกกีดกันจากตระกูลเพราะไม่มีทั้งผู้สืบทอดและไม่มีหัวนอนปลายเท้า เขานึกถึงที่พึ่งทางใจสุดท้ายนั่นคือหญิงสาวที่กำลังนั่งเล่าเรื่องราวอยู่นี้ เพื่อนที่คอยรับฟังเรื่องราวของเขาตลอด หลังจากที่เธอได้ยินดังนั้นเธอก็รู้สึกเห็นใจเขาเป็นอย่างมาก เธอจึงให้ความช่วยเหลือเขาโดยให้เงินไปเช่าที่อยู่และให้เงินไปค่าใช้จ่ายแก่เขาเรื่อยๆในช่วงระหว่างที่เขากำลังหางาน เพราะถือว่าที่เธอมีเงินมากขนาดนี้เพราะความปรานีที่เขาเคยมีให้แท้ๆ แต่อะไรๆก็ดูเหมือนว่าจะแย่ลงเพราะชายผู้นั้นดูเหมือนจะสูบเลือดสูบเนื้อเธอมากขึ้นเรื่อยๆ มากกว่าเงินที่เขาเคยให้เธอด้วยซ้ำ แต่เธอก็ปฏิเสธเขาไม่ได้ เพราะถูกขู่ว่าถ้าขัดขืนเขาจะป่าวประกาศว่า ผู้หญิงที่กำลังจะแต่งงานคนนี้มาเล่นชู้กับเขา เขาไม่มีอะไรจะเสียแล้ว มีแต่เธอที่จะยอมทิ้งอนาคตแลกกับเงินเชียวหรือ จนตอนนี้เธอไม่เหลืออะไร เงินเก็บทั้งหมดก็หมดสิ้น เธออยากจะรีบออกจากเมืองไปอยู่กับสามีใจจะขาด จึงต้องมาขอลาตั้งแต่วันนี้ ไม่มีกะจิตกะใจจะอยู่ต่อแม้กระทั่งรองานเลี้ยงส่งในวันพรุ่งนี้ก็ทนไม่ไหว

หลังจากที่ฟังเรื่องจบ โอคิคุก็ถึงกับถอนหายใจยาว โถแม่สาวผู้ใสซื่อ ถูกต้มจนหมดเปลือก เชื่อเลยว่าเศรษฐีนีคนนั้นก็คงไม่ได้ตายเพราะคลอดลูกด้วยซ้ำ ชายผู้นั้นช่างปลิ้นปล้อนเสียยิ่งกว่าจิ้งจอกใดๆซะอีก เผลอๆจิ้งจอกที่อยู่ในร้านนี้ยังคิดกลอุบายขนาดนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ

โอคิคุปลอบหญิงสาวและพาเธอไปส่งที่บ้าน นี่เป็นวันสุดท้ายที่จะได้เห็นหน้าเธอ น่าเสียดายที่งานเลี้ยงส่งจะต้องยกเลิกไป จากที่กะจะปิดร้านฉลอง คงต้องออกไปซื้อของยามเช้าตรู่เพื่อเปิดร้านในตอนเที่ยงดังเดิม

พอกลับมาที่ร้านเธอก็ตรงเข้าไปหลังร้านเพื่อไปดูอาการลูกจ้างของเธออีกคนที่คงจะเข็ดขยาดความโสมมของจิตใจมนุษย์เต็มที

เธอคิดว่าพอเข้าไปที่หลังร้านคงจะเห็นภาพชายผมเงินที่ปล่อยให้หูหางดั้งเดิมโผล่ออกมาโดยไม่กลัวว่าความลับความเป็นโยวไคจะแตกนั่งเหม่ออยู่เป็นแน่ แต่พอเธอเปิดประตูเข้าไปกลับไม่ใช่ภาพที่เธอคาดเดาไว้

ที่นั่นมีเพียงแค่สาวเสิร์ฟผมดำอีกคนนึงกำลังเตรียมของสำหรับงานเลี้ยงส่งที่ยกเลิกไปแล้วในวันพรุ่งนี้

เหมือนหล่อนจะรู้ตัวว่าเจ้าของร้านได้เข้ามาข้างหลัง เธอหันไปหาเจ้าของร้านด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม เหมือนไม่เคยได้ยินเรื่องที่รับฟังมาเมื่อครู่ เธอพูดกับเจ้าของร้านเพียงๆสั้นๆ

“พรุ่งนี้จะยังมีงานเลี้ยงส่งอยู่” เธอหยุดพูดเหมือนจะคิดสักพักก่อนจะพูดต่อ

“แต่ไม่ใช่งานเลี้ยงส่งของรุ่นน้อง แต่เป็นงานเลี้ยงต้อนรับสมาชิกใหม่”

ทั้งๆที่น้ำเสียงที่พูดก็เป็นน้ำเสียงที่เรียบเฉยที่โอคิคุได้ยินมาตลอดตั้งแต่เด็ก แต่คำพูดของเขาในครั้งนี้กลับแฝงไปด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือกน่าขนลุก


วันนี้ร้านเหล้าเล็กๆที่ปกติจะมีลูกค้าเข้าออกเสมอเงียบกว่าทุกวัน

เพราะวันนี้ร้านปิดชั่วคราวหนึ่งวันเพื่อจัดงานเลี้ยงตอนรับสมาชิกใหม่

หลังจากพนักงานเสิร์ฟสาวคนหนึ่งได้ลาออกไป การรับลูกค้าจำนวนมากด้วยเพียงแค่แรงของเจ้าของร้านหนึ่งคนและพนักกงานหนึ่งคนที่ทำทั้งหน้าที่สาวเสิร์ฟและผู้ดูแลหลังร้านคงจะเหนื่อยเกินไป การเปิดรับสมัครพนักงานหลังร้านคนใหม่ก็เกิดขึ้นรวดเร็วดังสายฟ้าแล่บ แต่คงจะเรียกว่าเปิดรับคงจะไม่ได้ เรียกว่าการเชิญมาเป็นพนักงานคงจะง่ายกว่า

ชายวัยกลางคนที่กำลังตกงานคนหนึ่งถูกเชิญมาเป็นพนักงานหลังร้าน เพราะรู้จักกับเจ้าของร้านมาเป็นเวลานาน อีกทั้งยังเป็นลูกค้าประจำที่ไม่เคยติดเงินร้านเลยเหมือนลูกค้าคนอื่นๆ ถึงแม้ว่าเงินเหล่านั้นส่วนใหญ่จะเป็นของแม่สาวที่ชายผู้นั้นพามาก็ตาม แต่ก็ไม่เกี่ยงถือว่าเป็นคนที่หาเงินมาจ่ายค่าเหล้าได้ครบถ้วนเสมอก็ถือว่าใช้ได้

คงไม่ต้องให้บอกว่าชายผู้นั้นคือใครเพราะว่าก็คงจะเดากันได้จากสรรพคุณที่กล่าวมา จะให้กล่าวฉายาซ้ำว่าคืออดีตซามูไรเดนตายก็คงจะเบื่อฟังเต็มทน

ทันที่ทีเขาได้รับคำเชิญให้มาทำงานที่นี่ ไม่มีความลังเลในการตอบตกลง เขารับข้อเสนอในทันที อยากจะเรียกได้ว่าตอบตกลงก่อนจะพูดจบด้วยซ้ำ แน่นอนเพราะว่ามีแต่ได้กับได้ มีเหล้า มีอาหารกินฟรี ได้เงินเดือนแถมมีที่ซุกหัวนอนชายคาเดียวกับร้านแคบๆที่มีแต่หญิงสาว มีหรอเสือผู้หญิงอย่างเขาจะปฏิเสธ

ตอนนี้ร้านเหล้าแห่งนี้ได้เปิดร้านเร็วขึ้นประกอบกับการควบเป็นร้านอาหารไปด้วย ดังนั้นหน้าที่หลังร้านจะหนักขึ้นเพราะต้องเตรียมอาหารทั่วไปสำหรับลูกค้าร้านอาหารด้วย ไม่ใช่เพียงแต่เตรียมของสำหรับกับแกล้มเหมือนเคย แต่การปรับเปลี่ยนกระทันหันแบบนี้ก็ทำให้งานหนักอยู่บ้างเพราะนอกจากเจ้าของร้านก็ไม่มีใครในร้านที่ทำอาหารจานหลักเป็นเลย อย่างมากก็ทำได้แค่กับแกล้มเหล้าจึงต้องมีการปรับหน้าที่เล็กน้อยโดยให้สาวเสิร์ฟผมดำที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีไปรับตำแหน่งหน้าร้านและทำกับแกล้มซึ่งเคยเป็นตำแหน่งเดิมของเจ้าของร้าน ส่วนเจ้าของร้านก็ต้องมาคอยสอนพนักงานวัยกลางคนที่พึ่งรับมาใหม่ให้ทำอาหารมื้อหลักให้ได้ ซึ่งชายผู้นั้นก็ไม่ขัด ดีเสียอีกที่ได้อยู่กับเจ้าของร้านสาวสวยหลังร้านสองต่อสองอย่างใกล้ชิด

ในช่วงแรกของการปรับเปลี่ยนระบบร้านค่อนข้างทุลักทุเลบ้าง แต่ก็เริ่มเข้าที่เข้าทางในเวลาไม่นาน อดีตพนักงานเสิร์ฟที่ตอนนี้เป็นเหมือนตัวแทนเจ้าของร้านก็เริ่มปรับเปลี่ยนสีหน้าไม่ให้ดูเย็นชาเหมือนเดิมได้มากขึ้น ส่วนชายคนครัวหลังร้านก็ดูเหมือนจะทำอาหารได้ดีขึ้นมากแต่ก็ยังรบเร้าให้เจ้าของร้านคอยคุมตอนทำอาหารอยู่บ่อยๆ

“ฮิโระจัง คุณเจ้าของร้านตอนนี้เขามีสามีแล้วหรอ”

ลูกค้าขาประจำที่คอยเกี้ยวพาราสีใส่เจ้าของร้านถามฮิโระอาคิที่ตอนนี้ใครๆก็เรียกว่าฮิโระจังด้วยน้ำเสียงเสียดาย

“ท่านมองว่าเป็นเช่นนั้นหรือ”

“แหม่ก็ช่วงนี้คลุกอยู่แต่ในครัวกับพ่อหม้ายคนนั้นนี่นาแล้วจะให้คิดอย่างไรเล่า ทั้งๆที่บอกว่าถ้าตำแหน่งนั้นว่างก็จ้างข้าได้แท้ๆ เผลอๆข้าเรียกเงินเดือนถูกกว่าอีกนะ”

แค่ฟังก็รู้ว่าชายคนนี้ก็เป็นอีกหนึ่งคนหวังในตัวเจ้าของร้านอยู่ตลอด ก็เป็นที่น่าสงสารที่ไม่ว่าเขาจะมีร้านนี้บ่อยแค่ไหนเจ้าของร้านก็ไม่เคยแยแสเขาเลย

“ถ้าข้าพูดว่าตอนนี้ยังไม่ใช่คนรักก็อาจจะเป็นการให้ความหวังลมๆแล้งๆแก่ท่าน เพราะงั้นรับเหล้าสักจอกเป็นการย้อมใจจะดีว่า เดี๋ยวข้าเลี้ยงท่านเอง แต่เป็นความลับของเราที่ท่านห้ามไปบอกเจ้าของร้านเด็ดขาดนะ”

“ฮิโระจังนี่ยัง เอาใจคนเก่งเสมอเลยนะ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ดูเย็นชาเหมือนเมื่อก่อนแล้วชักจะถูกใจข้าเสียแล้วสิ”

“ขอบคุณท่านสำหรับคำชม เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ข้าทำให้ท่านคลายความทุกข์ใจได้บ้าง”

คำพูดรื่นหูเหล่านี้ออกจากปากของฮิโระอาคิโดยที่เขาไม่ได้คิดผูกพันธ์อะไรเลยด้วยซ้ำ มิหนำซ้ำการต้องพูดเอาอกเอาใจพวกที่ชอบลามปามโอคิคุกับเขาแบบนี้เกือบทุกวันก็ทำให้อดคลื่นไส้ไม่ได้

เมื่อมองด้วยสายตาของคนนอก โอคิคุกับคนครัวผู้นั้นดูจะสนิทสนมกันป็นพิเศษจนเหมือนคู่รักที่ภรรยาคอยสอนการครัวให้สามี ซึ่งในสายตาคนครัวก็เช่นกัน เขาก็มองว่าโอคิคุในตอนนี้เป็นเหมือนผู้หญิงของตนไปเสียแล้ว เขาไม่ยอมปล่อยให้โอคิคุคลาดสายตาไปไหนไกล เขาจะตั้งใจทำงานมากเมื่อโอคิคุสัญญาว่าจะไม่ออกไปหน้าร้านแล้วอยู่หลังร้านกับเขา ซึ่งตัวโอคิคุเองก็ไม่ได้เกี่ยงเพราะการที่ลูกน้องตั้งใจทำงานก็เป็นเรื่องดีสำหรับเจ้านายอยู่แล้ว นอกจากนี้เรื่องงานหน้าร้านก็วางใจให้เป็นหน้าที่ของฮิโระอาคิได้ เพราะเขาก็เคยทำงานร้านอาหารมาตั้งแต่เด็กๆ คงสามารถรับมือได้โดยไม่ติดขัดอะไร

ทุกคนต่างทำงานและเก็บเงินเก็บหอมรอมริบเป็นเงินเก็บไว้ใช้ในยามยาก คนครัวอดีตมนุษย์เดนตายผู้นั้นก็เช่นกัน ตอนนี้เขามิได้เสเพลดื่มเหล้าเคล้านารีเหมือนแต่ก่อน ก็แน่สิทั้งเหล้าทั้งนารีก็อยู่ในที่ซุกหัวนอนของเขาในตอนนี้ ทำไมเขาจะต้องเอาเงินที่ได้มาง่ายๆพวกนี้ไปเททิ้งที่อื่นด้วยล่ะ เขาตั้งใจเก็บเงินอย่างมีนัยยะสำคัญ ตลอดระยะเวลาที่เขาตัวติดกับโอคิคุในห้องครัว เขาก็คอยเล่าเรื่องชีวิตสุดรันทดของเขาให้เธอฟังเสมอ แต่ก็มิได้พลาดพลั้งหลุดเรื่องสัมพันธ์ของเขากับสาวเสิร์ฟคนั้นออกมาแม้แต่น้อย เธอก็มีการแสดงความเห็นอกเห็นใจออกมาบ้าง แต่ก็มิได้แสดงทีท่าว่าจะยื่นมือให้ความช่วยเหลือแบบเต็มที่เหมือนสตรีนางอื่นๆ ด้วยความที่บุคลิคของโอคิคุดูเป็นคนตระหนี่ เขาจึงคิดได้ว่า วิธีที่จะได้เธอมาคงไม่ใช่การใช้คารมหลอกล่อหรือทำตัวน่าสงสาร แต่คงต้องใช้เงินสู่ขอมาแบบที่ปกติชนเขาทำกัน เขาจึงตั้งใจทำงานเพื่อเก็บเงินก้อนมาสู่ขอเธอ เพื่อให้สามารถเอื้อมถึงสิ่งที่สูงค่ากว่านั่นคือตำแหน่งเถ้าแก่ของกิจการร้านแห่งนี้ แต่ก็ไม่ใช่หนทางที่จะราบรื่นขนาดนั้น เพราะยังมีพนักงานสาวรุ่นพี่ที่เขามองว่าเป็นก้างขวางคอของเขาอยู่ ถึงภายนอกจะดูเป็นคนสะสวย แต่ความรู้สึกบางอย่างในตัวผู้หญิงคนนั้นกลับทำให้เขารู้สึกอยากกำจัดเธอออกไปให้พ้นหูพ้นตา เส้นทางของเขาจะได้โรยด้วยกลีบกุหลาบโดยแท้จริง

คนครัวอดีตซามูไรผู้ไม่เคยขยันทำงานกลับขยันและทำงานอย่างตั้งใจ คงเนื่องจากเข้าใกล้บั้นปลายเต็มทีเขาจึงต้องสนองความทะเยอทะยานของเขาให้จงได้ ปลาทองตัวใหญ่ตัวนี้คงไม่อยากปล่อยให้หลุดมือ นอกจากงานหลังร้านที่เขาใช้ความตั้งใจตบตาโอคิคุเขาก็มักใช้โอกาสทีเผลอ ขโมยเหล้ายามชลมุนไปขายเองบ้างทำให้ได้เงินเป็นกอบเป็นกำ โดยที่ไม่มีใครสงสัย

และถึงคราวที่ความฝันของเขาเป็นจริง เขามีเงินก้อนมากพอที่จะมาสู่ขอโอคิคุ ทางด้านโอคิคุก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก หากมีเงินที่คุ้มค่ากับข้อเสนอเธอก็ไม่ขัด ตอนนี้เขาจึงมีตำแหน่งเป็นเถ้าแก่ของเจ้าของร้านคู่กับภรรยาของเขา ช่วงชีวิตบั้นปลายที่แสนจะราบรื่นกำลังจะเริ่มขึ้น สุรา ภรรยาสาวสะพรั่ง และการกำจัดก้างขวางคอต้องเกิดขึ้นทันที

เขาได้ใช้อำนาจการเป็นสามีเจ้าของร้านไล่ฮิโระอาคิออกและหาพนักงานสาวใหม่มารับช่วงต่อแทน ในตอนแรก โอคิคุก็คัดค้านหลังชนฝา แต่ฮิโระอาคิก็พูดว่าไม่เป็นไร การตัดสินใจเช่นนี้ของเถ้าแก่คงผ่านการพิจารณามาแล้วว่าการหาพนักงานที่สาวกว่า สวยกว่าคงจะสร้างประโยชน์ได้มากกว่า พนักงานหญิงที่หน้าตาเย็นชาอย่างหล่อน หลังจากนั้นฮิโระอาคิก็ได้จากร้านไปและไม่ได้เห็นวี่แววอีกเลย

เป็นที่หน้ายินดีของเถ้าแก่คนใหม่ ตัวน่ารำคาญใจได้หายไปแล้ว ชีวิตที่สดใสราบรื่นคงจะได้เริ่มต้นขึ้นจริงๆ ภรรยาสาวสวยเจ้าของร้านคนเก่งก็ช่างเป็นที่เชิดหน้าชูตาพอๆกับสมัยยังมีภรรยาเศรษฐีนี เงินเป็นกอบเป็นกำที่ได้จากธุรกิจร้านอาหาร อีกทั้งยังมีสุราไม่อั้นคอนเติมเต็มความเป็นผีสุราของเขา ช่างสุขสบายเหลือเกิน ชีวิตแบบนี้สิดี ถึงแม้ว่าจะยังไม่แก่ขนาดที่จะเรียกว่าบั้นปลายได้ แต่ก็คงไม่ต้องไปตามหานารีคนใหม่มาเคยบำเรอแล้ว เพราะขืนทำอะไรขัดใจโอคิคุคงถูกเฉดหัวเป็นแน่ โอากาสการนอนบนกองเงินกองทองกองสุราแบบนี้หาได้ยากยิ่งจึงไม่จำเป็นต้องแกว่งเท้าหาเสี้ยนให้ตัวเองเดือดร้อนอีกต่อไป

ร้านอาหารของสองสามีภรรยาก็ดูจะมีลูกค้ามาเรื่อยๆ แต่ก็ดูน้อยกว่าแต่ก่อนพอสมควรแต่ก็มิได้ทำให้เดือดร้อนอะไรมาก ลูกค้าเก่าหลายคนก็คอยถามหาฮิโระจังสาวเสิร์ฟยอดนักเอาใจแต่เมื่อนางไม่อยู่แล้วก็สร้างความผิดหวังไม่น้อย ทำให้เสียลูกค้าเก่ากลุ่มนี้ไปหลายคนอยู่

ชีวิตที่เหมือนจะปกติครั้งแรกของเถ้าแก่อดีตซามูไรผู้นี้ก็ดูเหมือนจะราบรื่นดี แต่พักหลังๆเหมือนโรคจะรุมเร้าเขาเป็นระยะ คงเพราะอายุที่เพิ่มขึ้นและโรคสุราจากในอดีตกระมัง ซึ่งโรคเล็กๆน้อยๆพวกนี้ก็คงไม่ได้มีปัญหากับชีวิตมากนัก เพราะเขาก็ถือเป็นคนที่แข็งแรงและตายยากคนหนึ่ง

แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด ในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน โรครุมเร้าเขาหนักขึ้นเรื่อยๆ ราวกับทุกอย่างถาโถมเข้ามาในคราเดียวกัน ตอนนี้เขาอายุเพียง60ปลายๆ แต่สภาพกับซูบผอมราวกับคนแก่ขี้โรควัย ใกล้ฝั่งเขาทุกข์ทรมานเหลือเกินราวกับถูกกัดกินพลังชีวิตไปเรื่อยๆให้ตายอย่างช้าๆ

ผิดกับทางฝั่งภรรยาสาวของเขา กลับดูไม่แก่ขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้ามตั้งแต่เขาล้มป่วยเธอกลับดูสาวขึ้นด้วยซ้ำ

ทำไมกันนะ

เป็นคำถามที่เขาถามตัวเองอยู่บ่อยๆ เขาพยายามคิดว่าอาจเป็นเพราะตัวเองแก่ลงอย่างรวดเร็วพอมองภรรยาสาวของตัวเองเลยเห็นว่าสาวขึ้นเป็นพิเศษ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเธอจะเป็นปีศาจแปลงกายมากัดกินพลังชีวิตเพื่อให้ตัวเองดูสาวดูสวยขึ้น

โอคิคุที่ดูจะมีความสุขดีก็ยังคงทำหน้าที่เจ้าของร้านอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ความสาวความสวยของเธอที่ไม่เคยลดลงก็กลายเป็นนจุดขายดึงดูดลูกค้าให้มาชมความงามของเธอ จนได้รับขนานนามว่า “ความสาวอมตะ” หล่อนค่อนข้างยุ่งกับงานจนไม่มีเวลาไปดูแลสามีที่ป่วยจนทำงานไม่ได้  ไม่สิ เธอเลือกที่จะทำงานให้หนักเพื่อที่จะไม่ต้องไปดูแลซากศพเสียมากกว่า ทำไมเจ้าของร้านที่มีภาระมากมายอีกทั้งยังทั้งสาวทั้งสวย ต้องไปเกลือกกลั้วกับของสกปรกกับอะไรแบบนั้นด้วยล่ะ ตัวเธอก็มิได้พิศวาสอะไรในตัวชายผู้นี้เลยแม้แต่น้อย ที่ยอมแต่งงานด้วยนี่ก็เพียงเพราะมีคนไว้วานให้เธอช่วยเตรียมการขั้นสุดท้ายให้เสร็จสิ้นเท่านั้น ไม่ใช่เพราะเรื่องเงินหรือหลงสเน่ห์ผู้ชายสกปรกผู้นี้แต่อย่างใด

ถึงโอคิคุจะไม่เคยพูด แต่สามีของเธอก็สัมผัสได้ถึงความรังเกียจในสภาพของตัวเอง ตัวเขาที่ถูกผู้หญิงที่เขาหวังจะใช้งาน เหยียบย่ำศักดิ์ศรีเช่นนี้ก็รู้สึกถูกหยามหน้าจนกว่าจะทนได้ อยากจะหนีออกจากชั้นสองคนร้านที่แสนจะอุดอู้เหมือนกรงขังสัตว์นี่เต็มทน ในขณะที่รู้สึกคับแค้นใจไร้ที่พึ่งอยู่นั้น ก็ทำให้เขานึกถึงที่พักพิงที่สุดท้ายที่เขามักจะกลับไปยามถังแตกในอดีต นั่นคือบ้านของเขาที่อยู่ห่างออกไปจากตัวหมู่บ้านนั่นเอง

วันสุดท้ายที่เขาตัดสินใจจะอยู่ที่บ้านหลังนี้เขาได้มีปากเสียงกับโอคิคุก่อนที่จะระเห็ดออกมาอย่างทุลักทุเล แบกสังขารอันแห้งเหี่ยวพร้อมของติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้นที่ยังสามารถมีแรงแบกมาได้

ตัวเขาทั้งสิ้นหวังทั้งคับแค้นใจ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสภาพบ้านตอนนี้เป็นอย่างไร บ้านที่ไม่เคยได้กลับไปเลยหลายสิบปี คงจะมีสภาพดังบ้านร้างแต่ตัวเขาที่สภาพเหมือนผีแบบนี้ก็คงไม่มีทางเลือก ดีไม่ดีสภาพแบบบ้านร้างอาจจะเหมาะกับเขาในสายตาคนอื่นก็เป็นได้

สังขารอันแห้งเหี่ยวพาตัวเองมาจนถึงที่ตั้งของบ้านที่ควรจะเป็นบ้านของเขา แต่สภาพเบื้องหน้าที่เขาเห็นกลับทำให้เขาตกใจและงุนงง

บ้านที่ไม่มีใครอยู่มานานนับสิบๆปี กลับมีสภาพเดิมเหมือนตอนที่ภรรยาคนแรกของเขาที่คอยปัดกวาดเช็ดถูก ทำสวนและทำอาหารรอเขาอยู่ก็ไม่ปาน

เขาคิดว่าเขาอาจจะหลอนเพราะอาการป่วย เขาจึงใช้พลังเฮือกสุดท้ายพาตัวเองเข้าไปในบ้าน และเขาก็พบว่าเขาไม่ได้หลอนไปเอง บ้านหลังนี้ยังเหมือนเดิม ทั้งสะอาดและราวกับรอให้ผู้อาศัยกลับมา

กลิ่นอาหารที่คุ้นเคยลอยมาตามลม

เขาถึงกับอุทานชื่อของภรรยาเก่าที่ตายไปนานแล้วขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“มิโคโตะ”

แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ มีแต่เพียงเสียงฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามา

ดวงตาที่พร่ามัวมองไม่เห็นอะไรมากนัก รู้แต่ว่าเจ้าของฝีเท้ามาหยุดที่ตรงหน้าของเขาแล้วช่วยแบกร่างของเขาไปยังห้องที่เขาเคยใช้เป็นรังรักหยามเกียรติภรรยาของเขา ทำกับเธอราวกับเป็นเพียงตุ๊กตาประดับบ้าน

เขาไม่รู้ว่าคนที่พาเขามาที่นี่เป็นใคร สายตาของเขาเห็นเพียงแค่ชุดกิโมโนสีหม่นที่คุ้นเคยเหลือเกิน ไม่มีแรงแม้แต่จะยกศรีษะขึ้นมามองหน้าของสตรีผู้นั้น

ร่างของเขาถูกวางลงบนพื้นห้องอย่างเบามือ

ข้างหน้าของที่ที่เขานอนอยู่มีอาหารสี่ที่วางอยู่

“นี่คืองานเลี้ยงตอนรับการกลับมาของเจ้าของบ้านเชิญเลือกอาหารของท่านได้เลย”

เสียงของผู้หญิงที่คุ้นเคยกระซิบที่ข้างหูของเขา

มีอาหารสามที่หน้าตาเหมือนกันและอีกหนึ่งที่ที่แปลกไปจากจานอื่น ภาพนี้มันช่างคุ้นตาเสียจริง เหมือนกับเคยเห็นเมื่อนานมาแล้วต่างตรงที่อีกจานนั้นดูแปลกไป

อาหารที่อยู่ตรงหน้าของเขาช่างเหมือนอาหารที่ภรรยาของเขาทำเพื่อรอเข้ากลับมาเป็นประจำ ไม่เว้นแม้แต่วันที่พาผู้หญิงไม่ซ้ำมามากพลอดรักที่นี่

“ที่นี่มีคนอยู่ด้วยกันสี่คน” เสียงผู้หญิงดังขึ้นมาอีกครั้ง

“ภรรยา สามี ชู้รัก และ ลูกบุญธรรม”

เสียงที่เรียบเฉยแล้วดูเยือกเย็นเปลี่ยนโทนเสียงไปตามแต่ละคำที่พูดในวลีที่เสียงดังกล่าวพูดมีทั้งเสียงของมิโคโตะ ภรรยาคนแรก เสียงของเขา เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาเคยมีสัมพันธ์ด้วยและเสียงของเด็กที่เขาไม่ได้ยินเสียนานจนเกือบลืมว่าเป็นใคร

เขาทั้งตกใจและสงสัยเขารวมรวมพลังเฮือกสุดท้ายเพื่อที่จะเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของเสียงที่ตอนนี้เปลี่ยนอริยาบทมานั่งยองๆเพื่อจ้องมองเข้าอยู่ตรงหน้า

ภาพที่เขาเห็นถึงแม้ว่าจะมองเห็นลางๆก็ทำให้เขาถึงกับระเบิดคำพูดออกมาโดยลืมไปว่าพลังชีวิตของตัวเองเริ่มร่อยหรอเต็มที

“เจ้าจิ้งจอกปลิ้นปล้อน นังผู้หญิงนั่นเลี้ยงงูพิษให้มาทำลายข้า”

คนที่อยู่ตรงหน้าเขาคือชายหนุ่มผมเงินที่เขาคุ้นหน้าดีในรูปลักษณ์ของปีศาจจิ้งจอกสีหน้าเรียบเฉยกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชาที่แฝงไปด้วยคนสมเพชเวทนา ราวกับเขาเป็นเพียงของเล่นผุพังที่รอการทำลาย

“ข้าไม่ได้ปลิ้นปล้อนหรอกท่าน ตัวข้าตั้งใจจะฆ่าท่านจากใจจริง ”

“โดยที่มือของข้าไม่ต้องเปื้อนเลือดสกปรกของท่านด้วยซ้ำ”

พูดจบจิ้งจอกผมเงินก็หายวับไปราวกับอากาศ ทิ้งชายสภาพดังซากศพไว้พร้อมกับอาหารสี่ที่ที่วางไว้ราวกับการเซ่นไว้คนตาย

คำพูดที่กล่าวว่า งานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของเจ้าของบ้าน กลายเป็นเหมือนคำที่ตอนรับให้วิญญาณเรร่อนเข้ามาสู่ประตูแห่งโลกคนตายก็ไม่ปาน

 

ไม่มีใครพูดถึงเถ้าแก่ร้านเหล้าที่หายตัวไปอีก ไม่มีการตามหาตัว เพราะว่าเป็นญาติพี่น้องก็ไม่ใช่ ไม่เคยเป็นมิตรสหายอันดีกับใคร อีกทั้งยังสร้างเรื่องหลอกลวงไว้มากมาย การหายตัวไปของเขานั้นเหมือนจะเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ

มีชาวบ้านเล่าว่า ตอนออกไปหาของป่าแล้วกลับมายาวพลบค่ำ มักได้ยินเสียงกรีดร้องเหมือนสัตว์ป่าใกล้ตายหรือไม่ก็คล้ายเสียงผีสางเสียมากกว่า ออกมาจากบ้านชายป่าที่ห่างออกมาจากตัวหมู่บ้าน ลือกันว่าอาจจะเป็นสัมภเวสีเรร่อนที่เข้าไปสิงสู่ในบ้านร้างหลังนั้นก็เป็นได้ เพราะหลังจากที่มิโคโตะตายไปบ้านหลังนั้นก็มีสภาพเหมือนบ้างร้าง ต้นไม้ขึ้นรกและผุพังไปตามกาลเวลา

 


จบ

 

 

เรื่องราวที่ไม่อยากนึกถึง บทที่ 2

เรื่องราวที่ไม่อยากนึกถึงบทที่ 2

hiro4

บทที่1

มีบ้านหลังหนึ่งที่แยกตัวจากบ้านอื่นในเขตหมู่บ้านออกมาอย่างโดดเดี่ยว ใกล้ชายป่า มีพื้นที่ใช้สอยมากพอสมควร บรรยากาศเหงียบเหงาราวกับไม่เคยมีใครกลับมาบ้านมานาน

แน่สิ ก็เจ้าของบ้านตัวจริงแทบไม่เคยกลับมา เดือนนึงก็จะแวะมาแค่วันสองวันเท่านั้น ปล่อยให้ภรรยาของตนเองคอยทำความสะอาดบ้านทั้งหลังที่เจ้าหล่อนอยู่แค่คนเดียว คอยเตรียมอาหารสำหรับสองที่เผื่อไว้โดยที่ไม่รู้อีกคนจะกลับมากินเมื่อไหร่ในทุกๆมื้อ เพราะถ้าหากไม่ทำเช่นนี้พอเจ้าตัวกลับมาแล้วไม่เจออาหารเตรียมไว้ เจ้าตัวก็จะโวยวาย ทุบตีภรรยาทุกและต่อว่าว่านางเป็นภรรยาที่บกพร่องทุกครั้งไป

ส่วนทางฝั่งภรรยา “มิโคโตะ” นั้นต้องออกไปทำงานในหมู่บ้านในตอนเช้าทันทีหลังจากทำอาหารเก็บไว้สำหรับทั้งมื้อเช้าและมื้อกลางวันที่ต้องอย่าลืมว่ามื้อละสองที่เสมอเสร็จ และในตอนเย็นหลังเลิกกงานก็ต้องกลับมาทำงานบ้านและทำอาหารเย็นสำหรับสองที่อีกเช่นเคย ส่วนเสาร์อาทิตย์ที่ควรจะเป็นวันได้พบปะสังสรรของเหล่าสาวๆ เธอก็ต้องทำสวนและงานบ้านส่วนที่เหลือไม่ให้ขาดตกบกพร่อง จะมีเพียงไม่กี่วันต่อสัปดาห์เท่านั้นที่เธอจะได้ออกไปพบปะกับผู้คน ในฐานะมนุษย์ที่ออกมาพักผ่อนหย่อนใจ

จึงไม่แปลกที่สภาพของบ้านถึงแม้ว่าจะดูสะอาดเรียบร้อย แต่กลับมีบรรยากาศที่ว่างเปล่า ราวกับรอคอยให้ผู้อาศัยกลับเข้ามาได้ทุกเมื่อ

ช่วงหลังมานี้ มิโคโตะได้รับงานใหม่ที่เธอดูจะมีความสุขกับการได้ทำคือ การไปเก็บของป่ามาให้เจ้าของร้านอาหารในหมู่บ้าน ปกติแล้วเธอต้องไปแค่อังคารกับพฤหัส แต่พักหลังๆเธอดูจะสนุกกับงานจนไปเกือบทุกวัน จนมีข่าวลือว่าเธอโดนผีป่าสิง ทำให้เธอเลือกที่จะพักงานนี้ไว้เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเสียชื่อที่จะทำให้สามีของหล่อนหัวเสียเพราะเธอเบื่อความเจ้าอารมณ์ของสามีของเธอเต็มที

 แต่เธอก็มีข้ออ้างที่ฟังขึ้นจากการขอถอนตัวจากงานนี้ นั่นคือ“การเลี้ยงลูก”

เธอได้รับเด็กชายผมสีเงินหยุงเหยิงหน้าตาเย็นชาคนหนึ่งมาเป็นลูกบุญธรรม เธอบอกกับชาวบ้านว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กกำพร้าหลงทางที่เธอช่วยเอาไว้ในป่าก่อนจะถูกสัตว์ป่าทำร้าย เธอรู้สึกสงสารจึงตัดสินใจพามาอยู่ด้วย ไม่มีชาวบ้านคนใดสงสัยเรื่องของเด็กคนนี้เลยเพราะมิโคโตะไม่เคยโกหก เป็นหญิงสาวที่ซือสัตย์มาโดยตลอด ถือว่าเป็นโชคดีเพราะถ้าหากรู้ความจริงว่าเด็กคนนี้เป็นใคร ก็อาจจะเป็นเรื่องวุ่นวายเป็นแน่

ชีวิตของมิโคโตะเริ่มสดใสขึ้นเมื่อมีเด็กชายที่เธอเรียกว่า “ฮิโระ” มาอยู่ด้วย ราวกับได้เติมเต็มความเหงาและชีวิตที่ราวกับคนรับใช้ให้กลายเป็นชีวิตของแม่บ้านจริงๆเสียที

ส่วนทางฝั่งของเด็กชายฮิโระอาคิ ที่ใครๆก็เรียกเขาว่าฮิโระนั้น ก็ได้เรียนรู้สิ่งที่เรียกว่าวิถีชีวิตของมนุษย์ ที่เขาไม่ได้เคยสัมผัสมาก่อน  ตัวเขานั้นก็ยังมีนิสัยเฉื่อยชาเหมือนเดิม แต่ก็มีการแสดงอารมณ์อื่นๆที่เพิ่มมากขึ้นกว่าตอนแรกที่พบกับมิโคโตะ ถึงแม้ว่าจะไม่แสดงออกทางสีหน้ามากนัก แต่ก็ดูออกได้ง่ายๆ ถึงแม้ว่าเขาจะเริ่มชินกับมนุษย์และใช้ชีวิตได้เหมือนมนุษย์เรื่อยๆ แต่เขาก็ไม่เคยลืมความจนจริงที่ว่าตนเองนั้นคือ “จิ้งจอก”

และเมื่อเวลาผ่านไปเกือบ6 ปีหลังจากที่มิโคโตะรับฮิโระอาคิมาเลี้ยง ถึงเธอจะไม่เคยถามอายุของเขาแต่ดูจากหน้าตาตอนพบกันครั้งแรกน่าจะสักแปดถึงเก้าชวบได้ ตอนนี้ก็คงอายุราวๆ 14-15ปี เธอเริ่มมั่นใจแล้วว่าฮิโระน้อยของเธอน่าจะคุ้นชินกับมนุษย์พอสมควร มากพอที่จะไม่เผลอหลุดความเป็นจิ้งจอกออกมาต่อหน้าผู้คน

ชีวิตของฮิโระอาคิจึงมีอิสระมากขึ้น เขาได้รับอนุญาตให้ออกไปเดินเล่นในหมูบ้านหรือเล่นกับเด็กๆรุ่นราวคราวเดียวกันได้ด้วยตัวคนเดียวโดยที่มิโคโตะไม่ต้องไปเฝ้า ด้วยเหตุนี้เธอจึงมอบกระพรวนทองเหลืองคู่ซึ่งร้อยด้วยเชือกสีแดงให้ฮิโระอาคิผูกติดตัวไว้ เพื่อให้เธอหาตัวเจอได้ง่ายๆ แต่ด้วยนิสัยของฮิโระอาคิ เขาไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้นเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าจะได้รับอนุญาตแต่ส่วนใหญ่เขาก็จะตัวติดกับมิโคโตะ และไปช่วยงานเธอท่าที่เขาจะทำได้ที่ร้านอาหารเสมอ

ถึงแม้ว่าฮิโระอาคิจะเป็นเด็กชายที่ดูภายนอกอายุเพียงแค่สิบสี่สิบห้าบวกกับหน้าตาและนิสัยที่ดูไม่น่าจะขยันทำงานได้ แต่เขาก็ทำงานได้ดีกว่าที่เห็นมากนัก เขากลายเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารเล็กๆที่มิโคโตะทำอยู่ ตัวเขาได้รับความเอ็นดูทั้งจากเจ้าของร้านและลูกค้ามากมาย แม้ว่าในความเป็นจริงเขาจะแก่กว่าคนเหล่านี้หลายช่วงชีวิตได้ แต่ด้วยรูปร่างที่เป็นเด็กและทักษะการพูดจาที่ทำให้คนถูกอกถูกใจที่ติดตัวเป็นทุนเดิม ทำให้เจ้าของร้านจ้างเขาไว้ในฐานะลูกจ้างคนหนึ่งซึ่งทำให้แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของมิโคโตะได้พอสมควร จึงทำให้เธอไม่ต้องโหมงานหนักเหมือนแต่ก่อน เพราะถึงจะมีปากท้องเพิ่มขึ้นมาในบ้าน แต่อีกคนก็มีจิตสำนึกที่จะแบ่งเบาภาระ ไม่เหมือนชายที่ไม่เคยกลับบ้านแต่กลับต้องทำเหมือนว่าเขาอยู่ในบ้านทุกวัน อีกทั้งวันดีคืนดีจยังจะมาเอาเงินที่ภรรยาสาวอุตส่าห์ทำงานอย่างยากเย็นไปเที่ยวเตร่เอาเงินไปเททิ้งกับสุรานารี  แต่เพราะการเข้ามาของฮิโระอาคิทำให้มิโคโตะสามารถผ่อนความรู้สึกน้อยใจในตัวสามีลึกๆของเธอลงได้ เธอไม่ได้สนใจว่าสามีจะกลับมาไหมเหมือนแต่ก่อน ถึงแม่ว่าจะยังทำอาหารเกินไว้หนึ่งที่เสมอในทุกๆมื้อ แต่ก็ทำไปเพียงเพราะเป็นหน้าที่เท่านั้น ไม่ใช่การรอคอยอีกต่อไป

สามีของมิโกโตะรับรู้แล้วว่าเธอได้รับลูกบุญธรรมเข้ามา แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจมากนักซึ่งก็ไม่ได้กระทบกระเทือนจิตใจของฮิโระอาคิแต่อย่างใด เพราะเขาก็ไม่สนใจเรื่องของพ่อบุญธรรมของเขาเท่าไหร่ เอาจริงๆแล้วเขานับแค่ว่ามิโคโตะคือแม่ ส่วนผู้ชายคนนั้นก็แค่คนที่มากินข้าวยามถังแตกเท่านั้น


ไม่ใช่เพียงแค่ฮิโระอาคิเท่านั้นที่เป็นโยวไคในหมู่บ้านแห่งนี้

ตั้งแต่มิโคโตะพาฮิโระอาคิมาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ เธอได้พาฮิโระอาคิไปทำความรู้จักกับเด็กหญิงที่ทุกคนเชื่อกันว่าเป็นลูกสาวของเจ้าของร้านเหล้า

แต่ทว่าแว่บแรกที่ได้พบกันฮิโระอาคิก็สัมผัสได้เลยว่าเธอไม่ใช่เด็กหญิงธรรมดาเหมือนที่ทุกคนเข้าใจ เธอเป็นเนโกะมาตะ เมื่อพิจารณาแล้วก็ดูอายุยังไม่มากเท่ากับตนเอง พลังของนางยังดูมีไม่มากนัก แต่ไม่ต้องสงสัยว่าเจ้าหล่อนกำลังสูบพลังชีวิตของเจ้าของร้านมาใช้อยู่เป็นแน่

เด็กหญิงเนโกะมาตะนามว่า โอคิคุ 

ภายนอกโอคิคุเป็นเด็กตัวเล็กๆรุ่นราวคราวเดียวกับฮิโระอาคิ มีผมสีขาวตาสีทองกับไฝที่ปาก ดูแว่บแรกถ้าหากมองเด็กสองคนนี้อยู่ด้วยกัน เผินๆอาจจะเหมือนพี่น้องกำลังเล่นกันอยู่ก็เป็นได้

มิโคโตะชอบพาฮิโระอาคิมาเล่นกับโอคิคุบ่อยๆ เพราะสองคนนี้ดูมีอะไรบางอย่างที่เข้ากันได้ อาจจะเป็นเซนส์ของเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าร่างจริงของโอคิคุคือสิ่งใดก็ตาม โอคิคุจึงกลายเป็นเพื่อนคนแรกของฮิโระอาคิในหมู่บ้านแห่งนี้

ด้วยความที่โอคิคุก็เป็นเด็กการที่ได้เจอโยวไคด้วยกันนั้นคงเป็นความรู้สึกที่วางใจเป็นพิเศษ เจ้าหล่อนจึงติดฮิโระอาคิเป็นอย่างมาก และด้วยความที่ฮิโระอาคิมักพูดจาเอาอกเอาใจผู้อื่นโดยที่ไม่รู้ตัว จึงทำให้โอคิคุติดฮิโระอาคิถึงขนาดที่บอกว่าอยากจะแต่งงานด้วยบ่อยๆ

“ถ้าข้าโตเป็นสาวแล้วข้าจะเป็นเจ้าสาวให้ท่าน”EP2

“….ถ้าจะเป็นเจ้าสาวก็ต้องทำอาหารให้อร่อยได้”

“ข้าทำได้นะ ข้าเป็นถึงทายาทเจ้าของร้านเหล้าเลยนะ ถ้าเป็นพวกกับแกล้มล่ะก็ อร่อยแน่นอน!”

“ไม่มีใครเขากินกับแกล้มแทนอาหารมื้อหลักหรอกนะโอคิคุ”

“ท่านก็พูดมาตรงๆเลยเธอว่าอยากได้คนที่ทำอาหารได้เก่งๆแบบท่านมิโคโตะน่ะ”

“ถ้าแบบนั้นก็ไม่เสียหายนะ..”

“ท่านก็ติดท่านมิโคโตะเหลือเกินนะ หรือว่าข้าจะลองกัดกินชีวิตของท่านมิโคโตะดูบ้าง เผื่อท่านจะสนใจข้าบ้าง” โอคิคุทำเสียงงอนๆเล็กน้อย จริงๆเจตนาของเธอก็แค่หยอกเล่นให้อีกฝ่ายหัวเสียแล้วสนใจตัวเองบ้างเท่านั้น

“ถ้าเจ้าทำล่ะก็ข้าจะเผาเจ้า” ฮิโระอาคิพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ข้อแค่ล้อเล่นเองนะ”

“เจ้าไม่รู้หรอว่าล้อเล่นเรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะมันไม่น่ารักสำหรับเด็กผู้หญิง”

“ถ้าข้าไม่พูดแล้ว ไม่คิดแล้วข้าจะน่ารักในสายตาท่าใข่ไหม~”

“ข้าจะคิดตามที่เจ้าสบายใจแล้วกัน” เขาบอกปัดไปเพื่อให้เด็กสาวเลิกพูดอะไรที่ไม่เป็นมงคบแบบนั้นเสียที

“เพราะงี้ไงข้าถึงได้ชอบท่านมากๆ”

บทสนทนาเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยๆระหว่างทั้งคู่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ แต่ก็ยังคงจบด้วยการที่โอคิคุยังคงหลงในตัวฮิโระอาคิเสมอ

ถึงแม้ว่าจะดูเป็นความสัมพันธ์ประหลาดๆ แต่ก็เรียกได้ว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกันพอสมควร มีบ้างทีบางวันฮิโระอาคิเบื่อๆก็ไปร้านเหล้าของเจ้านายโอคิคุเพื่อไปคุยแก้เบื่อบ่อยๆ

โอคิคุก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ทำให้ชีวิตของฮิโระอาคิค่อนข้างมีสีสันมากขึ้นและรู้จักสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์ขันมากขึ้นเช่นกัน


ชีวิตที่ดูเหมือนจะดำเนินไปอย่างเรียบง่าย แสนธรรมดาและมีความสุขของแม่บ้านและลูกบุญธรรมของหล่อนก็ต้องชะงักลงเมื่อสามีตัวดีของเธอเกิดก่อเรื่องทำให้ถูกเจ้านายเฉดหัวออกมา ทำให้กลายเป็นซามูไรหางแถวผู้ตกงานแทน แต่นิสัยที่ไม่เคยเจียมตัวของเขาก็ไม่จบลงเหมือนหน้าที่การงาน เขายังคงเอาเงินที่พอมีอยู่ของเขาไปเที่ยวเตร่ เอาเงินไปทิ้งกับทั้งการพนัน เหล้าสุราและเอาใจเหล่าสตรีทั้งหลายจนหมดสิ้น แต่แค่เงินของตัวเขาหมดก็ยังไม่สาแก่ใจ ยามทุกข์ร้อนแบบนี้ คนที่จะต้องมาร่วมทุกกับเขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกเสียจาก มิโคโตะภรรยาของเขา
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมถึงค่าเหล้าของสามีตกเป็นภาระของมิโคโตะทั้งหมด ถึงแม้ว่าฮิโระอาคิดจะบอกว่าเอาเงินของตนไปด้วยก็ได้ แต่มิโคโตะก็ไม่ยอม

เมื่อไม่มีเงินจะเที่ยวเตร่บ้านของเขาก็กลายเป็นรังรักที่ควงผู้หญิงมาไม่ซ้ำหน้า ไม่มีการเห็นหัวภรรยาใดๆทั้งสิ้น

ถึงแม้ว่าเธอจะค่อนข้างปลงกับเรื่องนี้ แต่ต้องไม่ใช่ที่นี่ แต่ด้วยความที่เธอไม่อาจจะมีปากเสียงกับสามีได้ เธอจึงทำได้แค่เก็บความรู้สึกอัดอั้นเอาไว้เท่านั้น
จากที่เคยเป็นผู้หญิงที่คิดบวกมาตลอด มิโคโตะที่ต้องโหมงานมากขึ้น บวกกับการกระทำที่น่ารังเกียจของสามีทำให้สภาพจิตใจของเธอเริ่มย่ำแย่ลง
ทุกครั้งก่อนเริ่มทำอาหารเธอจะนั่งร้องไห้กับตัวเอง ทำไมชีวิตของถึงต้องมาพบอะไรแบบนี้ ห้องครัวจึงกลายเป็นสถานที่ระเบิดอารมณ์ของเธอ เธอไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาในห้องครัวขณะที่เธออยู่ในนั้น เพราะเธอไม่อยากให้ใครมาเห็นสภาพที่น่าอดสูของตัวเอง

จากอาหารที่ต้องทำสามชุด กลายเป็นสี่ชุด ช่วงเวลามื้ออาหารที่มีความสุขไม่มีอีกต่อไป เหลือแต่ความอัดอั้นตันใจ

สภาพของมิโคโตะในตอนนี้มองแล้วช่างบีบคั้นหัวใจเหลือเกิน

โฮโระอาคิที่ปกติไม่ค่อยจะยินดียินร้ายกับอะไรเท่าไรนัก แต่เมื่อเห็นสภาพของคนที่เขามองว่าเป็นแม่กลายเป็นแบบนี้ก็เกินกว่าจะทนอยู่เฉยๆได้เหมือนกัน

“ท่านซามูไร ทำเช่นนี้จะไม่เกินไปหรือ”

“เกินไป มีอะไรที่เกินไป นี่บ้านของข้าง ทั้งเจ้าและผู้หญิงคนนนั้นก็เป็นเพียงผู้อาศัย ข้าจะทำอะไรก็เป็นสิทธิ์ของข้า”

“แต่..”

“ถ้าเจ้าไม่พอใจข้าจะไปก็ได้ ข้าก็ไม่อยากอยู่ในบ้านที่มีแต่ผู้หญิงน่าเบื่อกับเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าเท่าไหร่นัก”

ทันทีที่พูดจบ เขาก็เก็บของแล้วออกจากบ้านไป ราวกับเตรียมตัวไวแล้วเพียงแค่รอใครสักคนแสดงความไม่พอใจ เพื่อหาข้ออ้างว่าตัวเองโดนเฉดหัวออกมาเท่านั้นเอง

“..”

ฮิโระอาคิไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาของเขาจากที่ดูเฉยเมยไม่สนอะไรกลับแฝงไปด้วยความอาฆาตในแววตา

เขาไม่ได้รั้งชายผู้นั้นไว้  ดีเสียอีกที่ไป อย่างน้อยจะได้อยู่กันอย่างปกติสุขเสียที

ถึงกระนั้นเหมือนว่าแค่การจากไปของสามีของมิโคตะในครั้งนี้ไม่ได้ทำให้สภาพจิตใจของเธอดีขึ้นเท่าไหร่นัก
เธอยังคงแอบไปร้องไห้เงียบๆคนเดียวทุกวัน และเธอยังคงทำอาหารสี่ที่เตรียมไว้ทุกมื้อ หลังจากที่สามีของเธอออกจากบ้านไปก็มีบางอย่างที่เริ่มเปลี่ยนไป
อาหารสามชุดที่มิโคโตะทำจะเหมือนกันทั้งสามชุด ยกเว้นชุดที่สี่ที่เธอทำให้ฮิโระอาคิซึ่งจะไม่เหมือนกับสามชุดที่เหลือ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร วัตถุดิบที่ใช้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสามชุดแต่เหลือ และก็เปลี่ยนไปในๆทุกๆมื้อไม่ได้จำเจอะไร ในตอนแรกก็ออกจะดูแปลกไปสักหน่อย เพราะที่ผ่านมาก็ทำเหมือนๆกันมาตลอด ถ้าพิจารณาตามนิสัยของมิโคโตะที่มักใส่ใจผู้อื่นก็คิดได้ว่า ฮิโระอาคิดูอยู่ในวัยกำลังโตเลยอยากให้กินอะไรที่พิเศษกว่าก็เป็นได้
แต่มีอย่างหนึ่งที่ฮิโระอาคิสังเกตได้ก็คือ อาหารทั้งสามชุดที่เหมือนกันนั้นจะมีกลิ่นที่แปลกไป เขาเคยลองปริปากถามมิโคโตะแต่ก็ได้คำตอบเพียงว่าช่วงนี้จมูกไม่ค่อยดีเลยอาจจะใส่เครื่องเทศผิดไปหน่อย ซึ่งพอประกอบกับการที่มิโคโตะซึมเศร้าและอาหารของฮิโระอาคิที่เปลี่ยนเป็นเมนูที่มีเครื่องเทศน้อยลง ทุกอย่างก็ดูจะพอดีกันจนไม่สงสัยอะไรอะไรต่อ

เรื่องราวดำเนินต่อไปราวกับสามีของมิโคโตะไม่เคยมีตัวตนหลงเหลือไว้แต่ความเจ็บช้ำที่ทิ้งไว้ให้เธอจมกับความเศร้า
แม้ว่าจะไม่ต้องแบกรับภาระค่าเหล้าที่ต้องจ่ายให้สามี แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆก็ยังมีเหมือนเดิม ดังนั้นเธอยังคงต้องทำงานอยู่ทั้งๆที่สภาพจิตใจแย่ลงเรื่อยๆตามอายุที่เพิ่มขึ้นของเธอ
ฮิโระอาคิก็ยังคงช่วยงานเธอเหมือนอย่างที่เคยเป็น ถึงแม้ว่าสภาพจิตใจเธอจะยังไม่ดีขึ้น แต่ก็วางใจได้ประการหนึ่งก็คือจะไม่มีอะไรที่ทำให้เธอเสียใจเพิ่มขึ้นอีก ตอนนี้สิ่งที่ทำได้ก็คิดทำให้เธอกลับมาเป็นผู้หญิงร่าเริงอีกครั้งหนึ่ง แต่ฮิโระอาคิก็คือฮิโระอาคิ เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์ของผู้หญิงและไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร หลายครั้งเลยต้องไปปรึกษาโอคิคุว่าจะทำอย่างไร ซึ่งก็โดนน้อยใจกลับมาบ่อยๆ แต่ก็ได้รับคำแนะนำดีๆกลับมาหลายอย่างเช่นกัน
เวลาผ่านไปทุกอย่างเหมือนจะปกติสุข มีบ้างทีมิโคโตะจะหลบไปร้องไห้คนเดียวเหมือนแต่ก่อน แต่ก็น้อยลงมาก เวลาคงเป็นสิ่งเดียวที่สามารถเยียวยาเธอได้ แต่ก็ไม่มีอะไรแน่นอนความสุขที่เหมือนจะกลับมาก็ระเห็ดหายไปอีกครั้ง เมื่อมิโคโตะค่อยๆล้มป่วยลง จากที่ตอนแรกแค่ดูเล็กน้อย แต่ก็หนักขึ้นเรื่อยๆจนถึงขั้นไม่สามารถออกไปทำงานได้

ชีวิตที่เหมือนจะดีของทั้งคู่กลับโดนพังด้วยผู้ชายไม่ได้ความเพียงคนเดียว ฮิโระอาคิก็ไม่ได้อยากแบกหน้าไปสนทนากับคนที่รู้ทั้งรู้ว่าจะไ่ม่รับฟังใครอย่างสามีของมิโคโตะ แต่เขาก็สงสารเธอเหลือเกินที่จะต้องตายไปพร้อมกับบาดแผลในใจเช่นนี้ อย่างนั้นแค่ให้ผู้ชายคนนี้โผล่หน้าไปแสดงความเป็นห่วงได้บ้างก็ยังดี

“ในที่สุดเจอตัวท่านจนได้.. อย่างน้อยท่านก็ไปแสดงความเห็นใจต่อนางเป็นครั้งสุดท้ายก่อนนางจะตาย…”

“โอ้ โตขึ้นเยอะเลยนี่ แบบนี้ก็เตรียมเสียบเป็นสามีคนใหม่ให้นางผู้หญิงคนนั้นได้แล้วล่ะสิ จะเอาไปเลยก็ได้นะ”

“…เลิกพูดจาสกปรกกับมิโคโตะได้แล้ว ท่านซามูไรโสโครก” ฮิโระเสียงแข็งขึ้น

“ถ้าเจ้ามาเพื่อต่อว่าข้าแบบนี้ก็กลับไปซะ พวกเจ้าเป็นคนไล่ข้าออกมาแท้ๆ การไปนั่งทนกินข้าวในที่อุดอู้ก็ทรมานอย่างกับใส่ยาพิษ เป็นห่วงเป็นใยกันเสียเหลือเกินนะ ดูก็รู้ว่านังผู้หญิงนั่นรับเจ้ามาเลี้ยงจะจับทำชู้ล่ะสิ  ไม่ได้เต็มใจแต่งกับซามูไรแก่ๆอย่างข้าแต่แรกอยู่แล้วนี่”

“ท่านนี่มันสกปรกทั้งข้างในทั้งข้างนอกเลยนะ ข้าคงคิดผิดจริงๆที่คิดว่าท่านยังไม่จิตใจอยู่บ้าง ขืนข้าพาท่านกลับไปคงมีแต่จะทำให้เรื่องแย่ลง ขอตัว”

พูดจบฮิโระอาคิก็รีบเดินออกมาโดยไม่รอฟังคำตอบของอีกฝ่าย เขากลัวว่าตัวเองจะโกรธจนไม่สามารถควบคุมพลังตัวเองไว้ไม่ได้เมื่อสนทนากับผู้ชายผู้นั้น หากเขาทำอะไรโผงผางไปมีแต่จะทำให้มิโคโตะเดือดร้อน

แต่คำพูดของชายผู้นั้นก็ทำให้ฮิโระอาคิคิดอะไรขึ้นมาได้

“ยาพิษ”

ภาพในอดีตค่อยๆปรากฎ ปะติดปะต่อเป็นเรื่องราวในหัวของฮิโระอาคิ

มิโคโตะเป็นผู้หญิงแข็งแรงมาโดยตลอด ไม่มีโรคประจำตัว ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะแก่ขึ้นตามกาลเวลา แต่ก็ไม่เคยมีสัญญาณเตือนใดๆก่อนหน้าที่สามีของเธอจะออกจากบ้านไป

“อาหารของท่านมีกลิ่นแปลกๆนะ”

คำถามที่เขาเคยถามกับมิโคโตะตอนที่เธอเริ่มทำอาหารสามชุดเหมือนๆกันโดยแยกชุดที่สี่ของฮิโระอาคิออกมาผุดขึ้นมาในหัว

ทำไมเขาถึงไม่ยอมสงสัยนะ

เพราะว่าไว้ใจที่ปกติมิโคโตะมักจะไม่โกหก เรื่องเดียวที่เธอโกหกกับชาวบ้านคือเรื่องความลับจิ้งจอกของตัวเขา

ก่อนจะรู้สึกตัวก็สายเกินไปแล้ว นับจากนี้มิโคโตะคงอยู่ต่อได้ไม่นานนัก ทั้งๆที่เธอพึ่งจะอายุแค่ 40กว่าปี เธอควรจะมีอายุยืนยาวกว่านี้ด้วยซ้ำ ทั้งแค้นเจ้าซามูไรเดนตายนั้น แต่อีกใจก็แค้นตัวเองที่โง่เสียเหลือเกิน

สิ่งสุดท้ายที่ฮิโระอาคิพอจะทำได้ตอนนี้ก็เพียงแค่ไม่ให้เธอจากไปอย่างโดดเดี่ยว เขาอยากจะเป็นจิ้งจอกที่มีพลังมากกว่านี้ในตอนนี้เสียเหลือเกิน อย่างน้อยก็อาจจะมีพลังที่ช่วยยื้อชีวิตเธอได้บ้าง


งานศพของมิโคโตะถูกจัดอย่างเล็กๆเงียบๆที่บ้าน

ส่วนหลุมศพของเธอถูกตั้งไว้ในป่าถัดจากหลังบ้านไปไม่ไกลนัก

บ้านของเธอกลายเป็นบ้านที่ไม่มีผู้อยู่อาศัยโดยสมบูรณ์

ไม่มีคนคอยทำความสะอาด

ไม่มีคนคอยตกแต่งสวน

บรรยากาศว่างเปล่านี้ไม่ใช่บ้านที่รอให้ผู้พักอาศัยกลับเข้ามาเหมือนเคย

แต่เหมือนกับบ้านร้างเสียมากกว่า

ฮิโระอาคิไม่ได้กลับไปที่บ้านหลังนั้นอีก เขาไม่ได้สนใจเรื่องที่พักอาศัยนัก จริงๆที่เขาไปอยู่ที่นั้นเพราะมีมิโคโตะ เมื่อไม่มีเธอจึงไม่มีความจำเป็นต้องไปอยู่ในที่ของคนอื่นอีกต่อไป

หลังจากที่มิโคโตะเสียชีวิตไปไม่สัปดาห์ ชีวิตของคนในระแวกนั้นก็ดำเนินไปอย่างปกติ ถึงแม้ว่าจะได้รับความเอ็นดู แต่เธอก็ไม่ใช่ญาติมิตรจึงไม่จำเป็นต้องอาลัยอาวรนานมากนัก ประกอบกับบ้านของเธอก็แยกออกมาจากหมู่บ้านเป็นระยะทางหนึ่ง ทำให้ไม่มีใครสนใจจะไปเยี่ยมหลุมศพมากนัก มีเพียงแต่ฮิโระอาคิที่ไม่ได้คงร่างมนุษย์อีกต่อไปคอยเฝ้าหลุมศพอยู่ไม่ห่าง ตอนนี้ชีวิตของเขากลับมาว่างเปล่าเหมือนอดีตอีกครั้ง ชีวิตไม่มีเป้าหมาย ไม่มีกะจิตกะใจแม้แต่จะแค้นสามีของมิโคโตะ เขาในตอนนี้เดนตายเสียยิ่งกว่าซากศพเสียอีก  สิ่งที่เขายังมีอยู่ในตอนนี้คือเงินเก็บที่มิโคโตะไม่ยอมให้เขาช่วยจ่ายภาระของครอบครัวและมรดกนิดๆหน่อยๆที่มิโคโตะทิ้งไว้ให้ ทั้งหมดก็พอประทังชีวิตแค่กินอาหารเล็กๆน้อยๆได้โดยไม่ต้องทำอะไรราวๆครึ่งปี ซึ่งของแบบนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาอยู่แล้ว อาหารบางอย่างหาได้โดยไม่ต้องใช้เงินด้วยซ้ำ

เขาใช้ชีวิตอย่างไร้เป้าหมายเฝ้าหลุมศพไปวันๆนานกว่าครึ่งปี แต่ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานั้นเขาไม่ได้อยู่คนเดียวตลอดเวลา ผู้หญิงที่เขาคุ้นเคยคอยมาเยี่ยมเขาเป็นประจำ อย่างน้อยสองสามวันครั้ง บางทีก็นำอาหารมาให้ คอยพูดคุยไม่ให้เขามีสภาพเหมือนซากศพไปมากกว่านี้ เพราะเธอก็ทนมองคนที่เธอคลั่งไคล้กลายสภาพเป็นแบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน

จนกระทั่งครบครึ่งปีการจากไปของมิโคโตะ เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้ง

โอคิคุเนโกะมาตะสาวที่เป็นเพื่อนตั้งแต่ยังใช้รูปร่างเด็กของฮิโระอาคิมาเยี่ยมเขาอีกครั้งเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็เยอะเกินกว่าจะนับได้ในรอบครึ่งปี

แต่ฮิโระอาคิก็ไม่เคยสนใจโอคิคุในช่วงนั้นเลย เขาทำแค่ขอบคุณของที่ให้ตามมารยาทแล้วบรรยากาศทุกอย่างก็ปกคลุมไปด้วยความเงียบอีกครั้ง บทสนทนาทุกครั้งเหมือนโอคิคุจะพูดอยู่คนเดียวเสียมากกว่า

เพี๊ยะ

เสียงตบดังฝ่าบรรยากาศที่เงียบสงบของป่าระแวกนั้น

“ข้าชักหมดความอดทนกับท่านแล้วนะ”

เจ้าของเสียงตบพูดขึ้นหลังจากตบอีกฝ่ายจนหน้าเป็นรอยเล็บ ราวกับรอยเล็บของแมวที่ข่วนหน้าเสียมากกว่ารอยตบ

“ถึงพลังของข้าจะทำให้ศพคืนชีพขึ้นมาได้ แต่ข้าไม่อยากแต่งานกับศพ หรอกนะ หรือว่าท่านอยากให้ข้าปลุกนางขึ้นมา ศพอย่างท่านจะได้อยู่กับนางอีกครั้งไง ร่างที่มีแต่เปลือกน่ะ”

“ เสียเวลาทำการทำงานเสียจริงที่ต้องคอยมาสนทนากับศพอย่างท่านทุกวันแบบนี้ ข้าหมดรักท่านแล้ว ข้าขอตัว ท่านคงสบายใจที่ไม่ต้องมีคนมายุ่มยามกับท่านอีก เก็บหูกับหางของท่านไว้ให้ดีแล้วกัน ถ้ามีใครรู้เข้าท่านนั่นแหละที่จะเดือดร้อน”

เสียงของเธอเต็มไปด้วยความหงุดหงิดแต่ถ้าฟังดีๆก็จะรู้เลยว่าเธอเป็นห่วงอีกฝ่ายแค่ไหน

“งาน?”

ฮิโระอาคิตอบสั้นๆ อย่างน้อยตอนนี้คำพูดของโอคิคุก็ไปกระทบโสตประสาทของเขาบ้างเสียที

“แน่สิข้าทำงานไม่งั้นจะเอาเงินที่หามาหาข้าวหาน้ำให้ท่านกิน หาชุดใหม่มาให้ท่านเปลี่ยน ไม่งั้นท่านคงได้เป็นศพไปจริงๆแล้วล่ะ”

เธอตอบแบบปกติ แต่ก็คิดในใจว่าน่าจะรีบตบๆไปตั้งแต่เดือนแรกจะได้ไม่ต้องมาเปลืองน้ำลายพูดอะไรให้ยืดยาวตั้งครึ่งปี

“ร้านเหล้าของเจ้านายเจ้า?”

“ใช่ หรือว่าท่านอยากจะมาทำ เงินเดือนไม่เยอะหรอกนะเพราะข้าพึ่งจ้างสาวเสิร์ฟมาเพิ่ม และก็ท่านเป็นผู้ชายต้องอยู่หลังร้านนะ”

เธอสังเกตเห็นว่าเขาดูมีความสนใจกับคำว่างานจึงยื่นขอเสนอหว่านๆไปหวังว่าเขาจะหลุดออกจากห้วงความทุกข์นี้ได้เสียที

“ได้”

เขาตอบเพียงสั้นๆด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ในแววตาของเขาแฝงไปด้วยนัยบางอย่างที่ไม่มีใครคาดเดาได้

—-

จบบท

เรื่องราวที่ไม่อยากนึกถึง บทที่2

ของเล่น |เรื่องราวที่ไม่อยากนึกถึง บทที่ 1

hiro2

hiro3

ตัวละครรับเชิญ> จิสึมิ

ตัวละคร ฮิโระอาคิ

.

.

.

“ส่วนตัวข้าก็ไม่ได้มองว่ามนุษย์เป็นของเล่นหรอกนะ แต่กับคนบางประเภทก็ไม่ควรมองเป็นสิ่งมีชีวิตด้วยซ้ำ”

หลังจากคุยกับปีศาจแมวนามจิสึมิก็ทำให้ฮิโระอาคิพาลนึกถึงเรื่องเก่าๆ

เรื่องเก่าๆที่เขาไม่เคยพูดถึงมาก่อน

ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยกับนิสัยที่ดูเฉื่อยชาจนใครหลายๆคนชอบทักว่านิสัยกับรูปลักษณ์นั้นช่างขัดกันโดยสิ้นเชิง แต่เมื่อทราบถึงอายุของเขาก็เห็นว่าสมเหตุสมผลดี

และโดยปกติเขาจะเป็นพวกค่อนข้างตามน้ำและพยายามไม่พูดอะไรที่ขัดหูอีกฝ่ายโดยไม่จำเป็น จึงมีน้อยคนนักที่จะรู้เรื่องราวของเขา “เรื่องของตัวเองที่ไม่ได้ทำให้คู่สนทนารู้สึกดีก็ไม่จำเป็นต้องพูด” นี่เป็นคติที่เขาใช้มาตลอดตั้งแต่ยังหนุ่มจนถึงตอนนี้ แต่เพราะคตินี้เองจึงเป็นเหตุให้ตัวเขาตั้งแต่เมื่อก่อนเป็นที่ถูกอกถูกใจของเหล่าสตรีผู้ชื่นชอบการถูกเอาอกเอาใจและคำพูดรื่นหู

เขาค่อนข้างจะเกรงใจคู่สนทนาถ้าอีกฝ่ายไม่ทำให้รู้สึกตนเองถูกระรานก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสตรีเพศ เขาจะค่อนข้างตามใจเจ้าหล่อนไม่ใช่เพียงเพราะเหตุผลที่ว่า สตรีเป็นเพศที่ถ้าทำให้ขัดใจจะยากที่จะรับมือ แต่มีอีกเหตุผลส่วนตัวที่ฝังใจเขามาตั้งแต่เด็กอีกด้วย…


ย้อนกลับไป 600กว่าปีก่อน ราวปี ค.ศ.14** บนเกาะอาโอโมริ

ผู้คนอาศัยอยู่กันอย่างเรียบง่าย ฝั่งโยวไคก็เช่นกัน

โยวไคในสายตาของมนุษย์ก็จัดเป็นพวกภูติผีสิ่งประหลาด สิ่งน่าเกลียดน่ากลัว เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงไม่ก็ต้องกำจัดให้รู้สึกปลอดภัย ดังนั้นการหลีกเลี่ยงการปะทะจึงจัดเป็นทางเลือกที่ดีของเหล่าโยวไค

แต่ก็ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนจะเกลียดชังโยวไคเสียซะหมด ก็ยังมีคนบางพวกที่มีความสามารถในการมองเห็นและการสื่อสารกับเหล่าวิญญาณเหล่านี้ได้และยอมรับการมีอยู่โดยไม่รังเกียจอยู่บ้าง

มีสตรีนามว่า อิซามุ มิโคโตะ เป็นสาววัยแรกรุ่นอายุเพียง 19 ปีและเป็นภรรยาของซามูไรหางแถวที่คอยไล่เก็บภาษีจากเหล่าชาวไร่ชาวนาซึ่งเป็นที่ไม่ชอบหน้าของเหล่าชาวบ้านนัก แต่ด้วยความโอ้อวดไม่รู้จักของเขาประกอบกับเงินทองที่มีอยู่ประมาณนึงซึ่งถือว่ามากสำหรับคนในย่านนั้นก็ทำให้ซามูไรผู้นั้นไปติดพันกับเหล่าสตรีมากมายอีกทั้งสตรีเหล่านั้นยังคล้อยตามอีกด้วย

แม้ว่าตัวซามูไรผู้เป็นสามีจะถูกเกลียดชังโดยเหล่าชาวบ้าน แต่ทางฝั่งของภรรยากลับได้รับความเอ็นดูจากคนเถ้าคนแก่และผู้คนอื่นๆในหมู่บ้าน สืบเนื่องจากความเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนของมิโกโตะ ขยันขันแข็งและจงรักภักดีต่อสามีของเธอ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยแย่แสเธอเลยก็ตาม จึงทำให้คนในระแวกนั้นต่างเห็นอกเห็นใจและไม่ถืออคติต่อเธอ

เมื่อฟังเรื่องราวของทั้งคู่หลายคนก็ต้องตั้งคำถามว่าทำไมคนดีๆปานพระแม่อย่างมิโคโตะกับซามูไรหางแถวไม่ได้ความที่ดีแต่พูดอวดตนอย่างเขาจึงมาพานพบกันได้ ก็คิดได้ในแง่เดียวว่าเป็นการคลุมถุงชนอย่างแน่นอน

มิโคโตะเป็นผู้หญิงที่หน้าตาธรรมดา เรียบง่าย ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เกิดในครอบครัวซามูไร ดังนั้นการได้แต่งงานกับซามูไรจึงเป็นสิ่งที่พ่อแม่ของเธอปราถนาที่สุดและต้องเกิดขึ้น จึงทำให้เธอต้องมาแต่งงานกับสามีคนนี้ด้วยประการฉะนี้ และข้ออ้างที่สามีของเธอพูดเสมอคือ “เธอไม่มีความฉูดฉาดเอาซะเลยฉันถึงต้องไปหาความสุขที่อื่น” เป็นข้ออ้างที่เข้าใช้เพื่อแก้ต่างความมักมากของตัวเอง

เมื่อสามีของเธอได้รับเงินเดือนจากเจ้านายมาเงินก็ไม่เคยตกถึงเธอกลายเป็นค่าเหล้าค่าบำเรอความสุขของสามีจนเกือบหมด ยังดีที่พวกอาหารก็ยังถึงเธอบ้างเพราะสามีของเธอยามเงินร่อยหรอก็ต้องกลับมาซบภรรยาตัวเองอยู่ดี ดังนั้นเครื่องแต่งกาย เครื่องใช้ของเธอ เธอจึงต้องทำงานเก็บเงินหาเอง ด้วยความที่เธอเป็นสาวจึงได้รับความเอ็นดูและได้รับความช่วยเหลือจ้างงานจากคนในระแวงนั้นเสมอ  สามีและเธอเรียกได้ว่าเหมือนคนแปลกหน้า แทบไม่มีสัมพันธ์กันเลยดังนั้นเรื่องมีลูกที่เป็นภาระเพิ่มเติมจึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องเป็นกังวล

ถึงมิโคโตะจะเป็นผู้หญิงที่ดูธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ แต่เธอก็มีความสามารถที่ไม่มีใครรู้

“สัมผัสที่หก”

เธอมีความสามารถในการมองเห็นและสื่อสารกับเหล่าวิญญาณ เธอจึงคุ้นชินกับเรื่องเหนือธรรมชาติและไม่รู้สึกรังเกียจ เธอเชื่อถึงการมีอยู่ของโยวไค ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเห็นแต่เธอก็เชื่อว่าไม่ใช่โยวไคทุกตัวที่ดุร้ายเหมือนที่เคยได้ยิน เพราะทุกสิ่งย่อมมีดีมีชั่ว มนุษย์ก็เช่นกัน….


จิ้งจอก เป็นทั้งเทพและปีศาจในสายตาของมนุษย์

จิ้งจอกในสายตามนุษย์เป็นพวกปลิ้นปล้อนไว้ใจไม่ได้ หากรู้ว่ามีจิ้งจอกเข้ามาในหมู่บ้าน ผู้คนก็ต่างหวาดระแวงว่าจิ้งจอกนั้นจะแปลงเป็นคนเพื่อมาหลอกตนและทำให้พวกตนเดือดร้อน

หารู้ไม่ว่าไม่ใช่จิ้งจอกทุกตัวที่จะเข้าไปปลอมตัวเป็นมนุษย์ได้อย่างแนบเนียน อย่างน้อยก็ต้อง2หางเป็นต้นไปถึงจะสามารถข้ามไปยังฝั่งมนุษย์แล้วแปลงตนเข้าไปได้

ถึงกระนั้น แม้ว่าจะเป็นจิ้งจอก 2 หางที่อายุกว่า 200 ปี การจะแปลงเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ยังทำได้โดยยาก หากพบกับสิ่งเร้าที่ทำให้ตกใจ ก็อาจจะความแตกได้ง่ายๆ เสียนอกจากว่าจะเป็นพวกจิ้งจอกที่ไม่กลัวอะไร หรือไม่แยแสอะไรจนไม่เกิดความกลัว

เหล่าจิ้งจอกรุ่นๆ เช่นจิ้งจอกหนึ่งถึงสองหาง ล้วนมีความอยากรู้อยากเห็นในฝั่งของมนุษย์ จิ้งจอกหนึ่งหางยังไม่มีพลังมากพอที่จะแปลงเป็นมนุษย์แล้วข้ามไปได้ การจะกลายเป็นจิ้งจอกก็เสี่ยงเกินไป  ส่วนจิ้งจอกสองหางหลายตนก็มีลองแปลงตนเป็นมนุษย์ไปแทรกซึมบ้างแต่ก็เกือบความแตกมาหลายครั้ง เนื่องด้วยภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยและปัจจัยอื่นๆ  ด้วยเหตุนี้จึงเกิดการรวมกลุ่มเล็กๆของเหล่าจิ้งจอกเด็กๆและวัยรุ่นเพื่อพูดคุยถึงความน่าตื่นเต้นของฝั่งมนุษย์ บางครั้งก็จะมีจิ้งจอกที่โตแล้วที่สามารถข้ามฝั่งได้อย่างอิสระมาเล่าเรื่องราวให้ฟัง ทำให้เด็กๆรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

แต่ในกลุ่มนั้นก็มีจิ้งจอกสองหางตนนึงที่ผิดแปลกไปจากจิ้งจอกรุ่นๆตนอื่น เขาไม่มีความสนใจใดๆเกี่ยวกับฝั่งมนุษย์ ความจริงคือเขาแทบไม่สนใจอะไร แค่มีอินาริซูชิอร่อยๆ กับชาร้อนให้กินก็พอแล้ว นามของเขาคือ

“ฮิโระอาคิ”

ฮิโระอาคิเป็นจิ้งจอกสองหางสีเงินอายุพึ่งย่างเข้าสองร้อยปีไม่นานมานี้ แต่ตัวเขาไม่ได้มีประสบการณ์อะไรมากมายเหมือนกับอายุเขานัก เพราะเขาแทบไม่ออกจากถิ่นตัวเองไปไหน พบปะแต่กับเหล่าโยวไคด้วยกันเท่านั้น ดังนั้นถึงแม้ว่า เลขสองร้อยบนอายุของเขาจะดูมากเมื่อเทียบกับอายุมนุษย์ แต่ความคิดความอ่านของเขาในตอนนี้ก็เพียงแค่เด็กผู้ชายคนนึง

เด็กผู้ชายเฉื่อยชาที่ไม่สนอะไรคนนึงเท่านั้น

นิสัยเฉยชาไม่สนอะไรของเขาอาจจะมีจากการที่เขาเป็นเด็กกำพร้าและไม่ค่อยได้รับการดูและและสั่งสอนอะไรมากนัก เขาเอาตัวรอดไปวันๆมาตลอดสองร้อยปีจึงไม่ค่อยสนอะไรมากนักนอกจากจะทำยังไงให้อยู่รอดไปวันๆ สิ่งเดียวที่เประสบการณ์ของเขาจะสอดคล้องกับอายุคงจะเป็นเรื่องทักษะการใช้คำพูดเพื่อเอาตัวรอด  เขาจะไม่พูดอะไรที่ขัดใจอีกฝ่ายเพื่อให้อีกฝ่ายเอ็นดูและยอมทำตามที่ตัวเองต้องการ ด้วยรูปลักษณ์ที่เป็นเด็กย่อมทำให้ผู้อื่นเอ็นดูมากกว่าอยู่แล้ว เขาจึงไม่คิดที่จะใช้ร่างที่สอดคล้องกับอายุของตนเอง

แต่เมื่อเทียบกับการใช้คำพูดแล้ว ความคิดของเขาจัดว่าค่อนข้างซื่อ บางคำที่เขาพูดออกมาอาจจะไม่คิดอะไรด้วยซ้ำ แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดแล้วหลงในคำพูดนั้น ด้วยคำพูดที่ดูเหมือนจะเอาอกเอาใจเป็นพิเศษนั่นเองจึงทำให้เขามีอาหาร มีเสื้อผ้า มีที่พัก อยู่ได้จนถึงสองร้อยปีโดยที่ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก


ในช่วงบ่ายวันที่อากาศเย็น มีเมฆบ้างพอเคลื่อนบังแสงอาทิตย์อันเจิดจ้าได้

มิโคโตะได้ออกมาหาของป่าเพื่อเป็นทำเป็นอาหารเย็นสำหรับสองที่ถึงแม้ว่าอีกทีอาจจะต้องเก็บไว้กินมื้อต่อไปคนเดียวก็ตาม

เธอเดินลึกเข้าไปในป่าไผ่เพื่อหวังว่าจะเจอหน่อไม้ไว้ทำอาหารบ้าง  เป็นเหมือนทุกครั้งที่เธอเข้ามาในป่า เธอจะสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างเสมอ บางครั้งก็เห็นเป็นรูปร่าง เพราะสัมผัสที่หกที่เธอมีทำให้เธอไม่สมารถหลีกเลี่ยงได้ แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรเพราะเคยชินไปแล้ว

.

ทางด้านฮิโระอาคิ วันนี้ก็เป็นเพียงวันธรรมดาวันนึงพิเศษที่เย็นเป็นพิเศษ เขาจึงออกเดินไปทางป่าไผ่ที่ยังอยู่ในเขตของจิ้งจอก อากาศเย็นเป็นอากาศที่เขาชอบ มันทำให้เขารู้สึกดีและมีแรงจะลุกขึ้นมาทำอะไรอย่างอื่นบ้างนอกจากนั่งเฉยๆหรือนอนไปวันๆ วันนี้จึงตัดสินใจออกไปเปลี่ยนบรรยากาศ

ลมเย็นๆพัดผ่าน พัดพากลิ่นที่แปลกไปมาแตะจมูกของเขา เป็นกลิ่นที่เขาไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน

จะว่าหอมก็หอม แต่จะว่าไม่หอมก็ไม่หอม

ถึงแม้ว่าปกติเขาจะไม่แยแสอะไรก็ตามแต่ในคราวนี้เขาก็เดินตามกลิ่นนี้ไปอย่างสนใจ หรือจริงๆแล้วเขาอาจจะไม่สนใจก็ได้ แต่เรียกได้ว่าเป็นสัญชาติญาณกระมัง

เมื่อเดินตามไประยะหนึ่ง เขาก็เห็นสตรีในชุดกิโมโนสิเรียบกำลังมองหาบางอย่างอยู่ไกลๆ

เธอไม่มีหู ไม่มีหาง ไม่มีปีก หรืออะไรที่เป็นลักษณะของโยวไค และกลิ่นของเธอก็ไม่ใช่กลิ่นของโยวไคด้วย

มนุษย์หน้าตาเป็นแบบนี้เองหรือ

มนุษย์ตัวเป็นๆ ถือเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา ถึงเขาจะเคยได้รับการบอกเล่ามาจากจิ้งจอกตนอื่นมาบ้าง แต่การได้เห็นของจริงย่อมทำให้รู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา

เขาลังเลที่จะเดินเข้าไปแต่ก็อยากจะลองไปดูใกล้ๆ เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีมาก่อน ที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกหรือประหม่ากับอะไรทั้งนั้น แต่การเจอมนุษย์ครั้งแรกนั้นทำให้เขามีอารมณ์อื่นนอกจากความเฉยเมยที่แสดงออกอยู่ทุกวันขึ้นมาได้

หลังจากที่เขามัวแต่ตื่นเต้นและละสายตาจากมนุษย์ผู้นั้นไปเพียงชั่วครู่เธอได้หายไปจากที่เดิม

อาจจะไปแล้วกระมัง

เขารู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้ไปสำรวจใกล้ๆ เขาได้เก็บหูและเก็บหางรอไว้แล้วเพื่อไม่ให้เธอตกใจ แต่เธอกลับหายไปซะนี่ คิดว่าอาจจะมีเรื่องไปเล่ากับกลุ่มจิ้งจอกรุ่นๆได้แท้ๆ

ระหว่างที่เขานึกเสียดายกับตัวเองจนไม่ได้ระวังตัวนั้น สตรีคนนั้นก็โผล่มาทางด้านหลังของเขา

“ทำไมถึงมีเด็กมาอยู่ในป่าล่ะ หลงทางมาหรอ พ่อแม่คงเป็นห่วงแย่แล้ว ให้ข้าพาออกไปไหม เห็นอย่างนี้ข้าค่อนข้างเซียนเดินป่าพอสมควรเลยล่ะ”

การปรากฏตัวโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวของสตรีนางนี้ ทำให้ฮิโระอาคิผู้เฉื่อยชากับทุกสิ่งตกใจได้มากพอที่จะทำให้หูที่เขาซ่อนไว้โผล่ออกมา

“เจ้าเป็นจิ้งจอกหรอกหรอ”

“…..”

“ไม่ต้องกลัวหรอก ข้าไม่ได้มีความคิดเกลียดชังพวกโยวไคแบบมนุษย์คนอื่นหรอกนะ ที่ทำให้เจ้าตกใจข้าต้องขอโทษด้วย”

สตรีผู้นั้นเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปจึงค่อยๆ ถอยออกมาเพื่อเว้นระยะห่าง

ทางฝั่งฮิโระอาคิเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เป็นภัยจึงวางใจและมีสติที่จะซ่อนหูตัวเองอีกครั้ง

“ท่านไม่กลัวข้าหรอ”

“เจ้าไม่ได้ทำร้ายข้าทำไมข้าต้องกลัวเจ้าด้วยล่ะ”

“เป็นมนุษย์ที่แปลกดีนะ ข้าเคยได้ยินแต่เรื่องของมนุษย์ที่เกลียดกลัวเหล่าโยวไค แสดงว่าท่านเป็นคนดีสินะ”

“เจ้าก็ยอข้าเกินไป เจ้ายังไม่ได้รู้จักข้าด้วยซ้ำอย่าพึ่งด่วนสรุปว่าข้าเป็นคนดีสิ ผู้ใหญ่สอนว่าอย่าไว้ใจคนแปลกหน้านะ”

“ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนเคยสอนข้าหรอก แต่ที่ท่านพูดก็ดูน่าสนใจดี ว่าแต่ท่านชื่ออะไรล่ะ”

“ข้าชื่อ มิโคโตะ …อิซามุ มิโคโตะ”

“อิซามุ มิโคโตะ… ตกลงเจ้าชื่อ อิซามุ หรือมิโคโตะกันแน่นะ”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้านี่ตลกดีนะ ชื่อของข้าคือ มิโคโตะ ส่วน อิซามุคือนามสกุล”

“นามสกุล?”

สีหน้าของฮิโระอาคิเปลี่ยนจากเรียบเฉยมาเป็นสงสัยเล็กน้อย

“สิ่งที่ใช้แสดงถึงวงศ์ตระกูลน่ะ”

“วงศ์ตระกูล…อะ..ข้าเข้าใจแล้วล่ะ”

“ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรล่ะ

“ข้าชื่อ ฮิโระอาคิ แต่ข้าไม่มีนามสกุลแบบท่านหรอกนะ”

ถึงแม้ว่าเขาจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่มิโคโตะก็สังเกตว่าแววตาของเขาแฝงความเศร้าอยู่ เธอจึงเข้าใจทันทีว่าความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขาคืออะไร

“แล้วเจ้าออกมาเดินทำไมที่นี้คนเดียวล่ะ ฮิโระอาคิ”

“ข้าก็เดินสำรวจไปเรื่อย แต่จริงๆคำถามนี้ข้าควรจะถามท่านมากกว่า ว่ามนุษย์สตรีๆสาวๆเช่นท่านถึงมาเดินอยู่ในป่าเขตจิ้งจอกคนเดียวแบบนี้ ไม่กลัวว่าจะมีอันตรายหรอ อีกย่างยังมีผีสางวิญญาณอื่นๆอีก ท่านไม่กลัวบ้างหรือ”

“ข้าออกมาหาของป่าสำหรับทำมือเย็นน่ะ ส่วนเรื่องอันตรายหรือผีสางก็ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าเอาตัวรอดได้ เห็นอย่างนี้ข้าก็กล้าหาญพอสมควรนะ!” มิโคโตะทำท่าทางขึงขังเพื่อให้อีกฝ่ายวางใจ

“ได้ยินแบบนั้นข้าก็วางใจ ถ้าท่านเป็นมนุษย์ที่กล้าหาญขนาดนี้ท่านคงต้องมองมนุษย์คนอื่นๆเสียใหม่ด้วย”

“ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะ ส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างที่เจ้าได้ยินมาแหละ” มิโคโตะหัวเราะเล็กน้อย

“งั้นรึ… งั้นท่านก็เป็นคนพิเศษสินะ”

“ได้ยินเช่นนั้นข้าก็ดีใจ เจ้าเป็นคนแรกที่เรียกว่าข้าคือคนพิเศษ”

“ข้าไม่รู้ว่าท่านเจออะไรมาบ้าง แต่ในสายตาข้าตอนนี้ท่านเป็นมนุษย์ที่พิเศษ”

” ฮ่า ฮ่า ฮ่า พอแล้ว ข้าก็อายเป็นเหมือนกัน ว่าแต่เจ้าไม่มีเพื่อนมาเดินเล่นด้วยกันบ้างหรือถึงได้มาเดินสำรวจคนเดียวแบบนี้ไม่เหงารึ”

“เพื่อนหรอ…จะว่ามีก็ได้กระมัง แต่ข้าชอบอยู่คนเดียวมากกว่า”

“งั้นให้ข้าเป็นเพื่อนเจ้าไหม ยังไงข้าก็ต้องเข้ามาหาของป่าบ่อยๆ ถ้ามีเพื่อนเดินสำรวจไปด้วยกันล่ะก็คงสนุกดี!” มิโคโตะพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“หืม… อืม..ข้อเสนอของท่านก็น่าสนใจดี ตัวข้าไม่เกี่ยงอยู่แล้ว ถ้าท่านคิดว่าท่านทำแล้วตัวท่านเองจะไม่เดือดร้อนข้าก็ยินดี”

“ข้าจะเดือดร้อนอะไรกันเล่าแบบนี้สิดี ข้ารู้สึกปลอดภัยมากขึ้นด้วย! มีเทพจิ้งจอกอยู่ใกล้ๆรู้สึกอุ่นใจเลยล่ะ เอาเป็นว่า ทุกวันอังคารกับพฤหัส ตอนบ่ายเจอกันที่นี่นะ!”

“เทพหรอ…พึ่งเคยมีคนเรียกข้าด้วยคำนี้เป็นครั้งแรก ถ้าท่านว่าแบบนั้นข้าก็จะรอท่าน”

“นี่ก็ใกล้มืดแล้วข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน เดี๋ยวสามีของข้ากลับมาแล้วไม่เจอคงจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถ้าเขากลับมานะ” มิโคโตะหัวเราะ แต่ช่างเป็นเสียงหัวเราะที่ดูฝืนใจยิ่งนัก

“งั้นข้าจะเดินไปส่งจนกว่าท่านจะถึงฝั่งมนุษย์”

หลังจากนั้นฮิโระอาคิและมิโคโตะก็เดินคุยกันไปเรื่อยๆจนถึงสุดชายป่าของอาณาเขตจิ้งจอกรอยต่อของเขตมนุษย์ ระหว่างทางมิโคโตะก็พูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับฝั่งมนุษย์ให้ฮิโระอาคิฟัง จนดูเหมือนเธอพูดคนเดียวด้วยซ้ำเพราะฮิโระอาคิก็ดูเหมือนจะรับฟังเงียบๆไม่ขัดความสนุกของเธอ

นี่เหมือนเป็นครั้งแรกที่เธอได้พูดคุยอย่างสนุกสนานกับคนอื่นโดยไม่ต้องเขอะเขินหรือพยายามมีมารยาท จึงทำให้เธอรู้สึกอยากกลับมาพูดคุยกับฮิโระอาคิบ่อยๆ

 จากตอนแรกที่เธอจะเข้ามาหาของป่าทุกวันอังคารและพฤหัส กลายเป็นเธอเข้าป่ามาถี่ขึ้นเรื่อยๆ จากความเหงาที่ต้องเป็นภรรยาที่คอยอุดอู้ในบ้าน ซึ่งนานๆทีจะมีงานให้ต้องออกไปทำ งานซ้ำซากที่เหมือนจะทำครบทุกอย่างที่ทำได้แล้ว การออกมาเปลี่ยนบรรยากาศออกมาพูดคุยกับคนที่รับฟังเธอโดยไม่ต้องห่วงภาพลักษณ์จึงเป็นสิ่งที่เธอโหยหามาโดยตลอด

ทางด้านฮิโระอาคิที่นานๆจะได้พูดคุยกับคนอื่นก็ได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆจากมิโคโตะมากมายรวมถึงซึมซับอะไรหลายๆอย่างจากเธอ ทำให้เขาไม่รู้สึกประหม่ากับมนุษย์อีก มิโคโตะได้บอกเรื่องราวของมนุษย์ในหลายๆด้านกับฮิโระอาคิรวมถึงเรื่องสามีไม่ได้ความของเจ้าหล่อนด้วย ทำให้ฮิโระอาคิรับรู้ว่า มนุษย์นั้นจริงๆก็ไม่ได้ต่างกับพวกโยวไคเท่าไหร่ที่มีทั้งพวกดีและพวกร้าย

ฮิโระอาคิที่เริ่มวางใจในตัวมิโคโตะจึงได้ยอมเล่าเรื่องราวของตัวเองไปเรื่องนึงคือเรื่องที่ตัวเองเป็นเด็กกำพร้า

มิโคโตะจึงปะติปะต่อเรื่องราวได้ว่าการที่ฮิโระอาคิดูเป็นคนที่ค่อนข้างเฉื่อยชาแบบนี้เพราะการที่ไม่มีครอบครัวคอยให้คำแนะนำและให้ความรักแก่เขา

การพบปะพูดคุยและเดินสำรวจเส้นทางในป่าของทั้งสองคนก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ แลกเปลี่ยนข้อมูลที่ดูเหมือนมิโคโตะจะเป็นฝ่ายนำมาให้ฝ่ายเดียวเสียมากกว่า(แต่เธอก็ไม่ได้เกี่ยงอะไร)ทำให้มีเรื่องใหม่ๆมาพูดทุกวันจนไม่รู้สึกเบื่อ

แต่การเข้าป่ามาเกือบทุกวันของมิโคโตะก็ทำให้เป็นที่น่าสงสัยและเริ่มเป็นข่าวลือแปลกๆในวงชาวบ้าน บ้างก็ว่าเธออาจจะเบื่อสามีจนไปซุกชู้รักไว้ในป่า บ้างก็ว่าเธอโดนภูติผีหลอกให้เข้าไปบ้าง จนเธอเกรงว่าอาจจะไม่ดีต่อทั้งตัวเธอและเหล่าโยวไคในป่าแห่งนี้

แต่การที่เธอจะเลิกมาคุยกับเด็กน้อยจิ้งจอกที่รับฟังเธอทุกเรื่องก็เป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก

ด้วยตัวสามีของเธอที่ไม่มีทีท่าจะหันกลับมาแยแสเธอ ความโดดเดี่ยวของเธอ ที่ตอนนี้ถูกเติมเต็มด้วยการสนทนากับคนที่เธอมองว่าเป็นเด็กน้อยว่าง่าย และ เธอคงคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะมีลูกกับสามีจอมปลิ้นปล้อนเสียยิ่งกว่าปีศาจจิ้งจอก เธอจึงนึกบางอย่างขึ้นมาได้และตัดสินใจโดยไม่มีลังเล

“นี่ฮิโระอาคิ”

“หืม”

“เจ้าแปลงเป็นมนุษย์ได้นานแค่ไหน”

“ก็ได้ตลอด ถ้าไม่มีอะไรทำให้ข้าเสียสมาธิ”

“ปกติเจ้าเสียสมาธิบ่อยแค่ไหน”

“ครั้งสุดท้ายก็ตอนที่ท่านโผล่มาข้างหลังข้าโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียง แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของท่านหรอก ตอนนั้นข้าเป็นเพียงจิ้งจอกขี้กลัว”

“อืม…”

“ท่านมีอะไรงั้นหรือ”

“ถ้าไม่ขอเกินไป..”

มิโคโตะค่อนข้างลังเลที่จำกล่าวขำขอออกไปเธอกลัวการถูกปฏิเสธแต่ยิ่งกว่านั้นคือกลัวที่จะทำให้จิ้งจอกน้อยรู้สึกไม่สบายที่จะปฏิเสธเธอ

“ไม่มีอะไรเกินไปเมื่อเทียบกับการที่ท่านคอยให้ความรู้กับข้าหรอกนะ”

“ช่วยมาเป็นลูกของข้าได้หรือไม่”

“..ข้าเข้าไปในท้องท่านตอนนี้ไม่ได้หรอกนะ…”

มิโคโตะถึงกับปล่อยเสียงหัวเราะออกมาหลังจากได้รับคำตอบที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าซื่อหรืออะไรดีของฮิโระอาคิ

“ไม่ใช่ลูกแบบนั้นสิ ข้าหมายถึงว่าลูกบุญธรรม ไม่ใช่ลูกที่ออกมาจากท้อง แต่เป็นเด็กที่ฉันจะรับมาเลี้ยงแล้วดูแล อยู่ด้วยกันเหมือนเป็นลูกน่ะ” เธออธิบายอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้เด็กน้อยเข้าใจผิดอีก

“ได้สิ”

“..เจ้าไม่ลังเลหน่อยหรอ”

เธอตกใจที่ทุกอย่างดูง่ายดายเหลือเกินจนรู้สึกเสียเวลาที่ลังเลไปเมื่อครู่

“ทำไมข้าจะต้องลังเลด้วยล่ะ ข้าไม่เดือดร้อนนี่ การที่ท่านขอข้าแบบนี้แสดงว่าท่านพิจารณาดีแล้วว่าข้าจะไม่ทำให้ท่านเดือดร้อน ถือว่าเป็นเกียรติเสียอีก”

“เจ้าพูดยอเกินไปอีกแล้วนะ” เธอเอามือเคาะหัวของเด็กชายไปหนึ่งที

“แต่ข้ามีคำถามหนึ่งอย่าง ถ้าท่านไม่สบายใจจะตอบก็ไม่เป็นไร”

“ข้าตอบแน่นอน ว่ามาเลย”

“ข้าจะได้ใช้นามสกุลของท่านใช่ไหม”

“แน่นอนสิ ก็เจ้าเป็นลูกข้องข้านี่นา”

—-

จบบท

เรื่องราวที่ไม่อยากนึกถึง บทที่1

hiro