เรื่องราวที่ไม่อยากนึกถึงบทที่ 2
มีบ้านหลังหนึ่งที่แยกตัวจากบ้านอื่นในเขตหมู่บ้านออกมาอย่างโดดเดี่ยว ใกล้ชายป่า มีพื้นที่ใช้สอยมากพอสมควร บรรยากาศเหงียบเหงาราวกับไม่เคยมีใครกลับมาบ้านมานาน
แน่สิ ก็เจ้าของบ้านตัวจริงแทบไม่เคยกลับมา เดือนนึงก็จะแวะมาแค่วันสองวันเท่านั้น ปล่อยให้ภรรยาของตนเองคอยทำความสะอาดบ้านทั้งหลังที่เจ้าหล่อนอยู่แค่คนเดียว คอยเตรียมอาหารสำหรับสองที่เผื่อไว้โดยที่ไม่รู้อีกคนจะกลับมากินเมื่อไหร่ในทุกๆมื้อ เพราะถ้าหากไม่ทำเช่นนี้พอเจ้าตัวกลับมาแล้วไม่เจออาหารเตรียมไว้ เจ้าตัวก็จะโวยวาย ทุบตีภรรยาทุกและต่อว่าว่านางเป็นภรรยาที่บกพร่องทุกครั้งไป
ส่วนทางฝั่งภรรยา “มิโคโตะ” นั้นต้องออกไปทำงานในหมู่บ้านในตอนเช้าทันทีหลังจากทำอาหารเก็บไว้สำหรับทั้งมื้อเช้าและมื้อกลางวันที่ต้องอย่าลืมว่ามื้อละสองที่เสมอเสร็จ และในตอนเย็นหลังเลิกกงานก็ต้องกลับมาทำงานบ้านและทำอาหารเย็นสำหรับสองที่อีกเช่นเคย ส่วนเสาร์อาทิตย์ที่ควรจะเป็นวันได้พบปะสังสรรของเหล่าสาวๆ เธอก็ต้องทำสวนและงานบ้านส่วนที่เหลือไม่ให้ขาดตกบกพร่อง จะมีเพียงไม่กี่วันต่อสัปดาห์เท่านั้นที่เธอจะได้ออกไปพบปะกับผู้คน ในฐานะมนุษย์ที่ออกมาพักผ่อนหย่อนใจ
จึงไม่แปลกที่สภาพของบ้านถึงแม้ว่าจะดูสะอาดเรียบร้อย แต่กลับมีบรรยากาศที่ว่างเปล่า ราวกับรอคอยให้ผู้อาศัยกลับเข้ามาได้ทุกเมื่อ
ช่วงหลังมานี้ มิโคโตะได้รับงานใหม่ที่เธอดูจะมีความสุขกับการได้ทำคือ การไปเก็บของป่ามาให้เจ้าของร้านอาหารในหมู่บ้าน ปกติแล้วเธอต้องไปแค่อังคารกับพฤหัส แต่พักหลังๆเธอดูจะสนุกกับงานจนไปเกือบทุกวัน จนมีข่าวลือว่าเธอโดนผีป่าสิง ทำให้เธอเลือกที่จะพักงานนี้ไว้เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเสียชื่อที่จะทำให้สามีของหล่อนหัวเสียเพราะเธอเบื่อความเจ้าอารมณ์ของสามีของเธอเต็มที
แต่เธอก็มีข้ออ้างที่ฟังขึ้นจากการขอถอนตัวจากงานนี้ นั่นคือ“การเลี้ยงลูก”
เธอได้รับเด็กชายผมสีเงินหยุงเหยิงหน้าตาเย็นชาคนหนึ่งมาเป็นลูกบุญธรรม เธอบอกกับชาวบ้านว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กกำพร้าหลงทางที่เธอช่วยเอาไว้ในป่าก่อนจะถูกสัตว์ป่าทำร้าย เธอรู้สึกสงสารจึงตัดสินใจพามาอยู่ด้วย ไม่มีชาวบ้านคนใดสงสัยเรื่องของเด็กคนนี้เลยเพราะมิโคโตะไม่เคยโกหก เป็นหญิงสาวที่ซือสัตย์มาโดยตลอด ถือว่าเป็นโชคดีเพราะถ้าหากรู้ความจริงว่าเด็กคนนี้เป็นใคร ก็อาจจะเป็นเรื่องวุ่นวายเป็นแน่
ชีวิตของมิโคโตะเริ่มสดใสขึ้นเมื่อมีเด็กชายที่เธอเรียกว่า “ฮิโระ” มาอยู่ด้วย ราวกับได้เติมเต็มความเหงาและชีวิตที่ราวกับคนรับใช้ให้กลายเป็นชีวิตของแม่บ้านจริงๆเสียที
ส่วนทางฝั่งของเด็กชายฮิโระอาคิ ที่ใครๆก็เรียกเขาว่าฮิโระนั้น ก็ได้เรียนรู้สิ่งที่เรียกว่าวิถีชีวิตของมนุษย์ ที่เขาไม่ได้เคยสัมผัสมาก่อน ตัวเขานั้นก็ยังมีนิสัยเฉื่อยชาเหมือนเดิม แต่ก็มีการแสดงอารมณ์อื่นๆที่เพิ่มมากขึ้นกว่าตอนแรกที่พบกับมิโคโตะ ถึงแม้ว่าจะไม่แสดงออกทางสีหน้ามากนัก แต่ก็ดูออกได้ง่ายๆ ถึงแม้ว่าเขาจะเริ่มชินกับมนุษย์และใช้ชีวิตได้เหมือนมนุษย์เรื่อยๆ แต่เขาก็ไม่เคยลืมความจนจริงที่ว่าตนเองนั้นคือ “จิ้งจอก”
และเมื่อเวลาผ่านไปเกือบ6 ปีหลังจากที่มิโคโตะรับฮิโระอาคิมาเลี้ยง ถึงเธอจะไม่เคยถามอายุของเขาแต่ดูจากหน้าตาตอนพบกันครั้งแรกน่าจะสักแปดถึงเก้าชวบได้ ตอนนี้ก็คงอายุราวๆ 14-15ปี เธอเริ่มมั่นใจแล้วว่าฮิโระน้อยของเธอน่าจะคุ้นชินกับมนุษย์พอสมควร มากพอที่จะไม่เผลอหลุดความเป็นจิ้งจอกออกมาต่อหน้าผู้คน
ชีวิตของฮิโระอาคิจึงมีอิสระมากขึ้น เขาได้รับอนุญาตให้ออกไปเดินเล่นในหมูบ้านหรือเล่นกับเด็กๆรุ่นราวคราวเดียวกันได้ด้วยตัวคนเดียวโดยที่มิโคโตะไม่ต้องไปเฝ้า ด้วยเหตุนี้เธอจึงมอบกระพรวนทองเหลืองคู่ซึ่งร้อยด้วยเชือกสีแดงให้ฮิโระอาคิผูกติดตัวไว้ เพื่อให้เธอหาตัวเจอได้ง่ายๆ แต่ด้วยนิสัยของฮิโระอาคิ เขาไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้นเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าจะได้รับอนุญาตแต่ส่วนใหญ่เขาก็จะตัวติดกับมิโคโตะ และไปช่วยงานเธอท่าที่เขาจะทำได้ที่ร้านอาหารเสมอ
ถึงแม้ว่าฮิโระอาคิจะเป็นเด็กชายที่ดูภายนอกอายุเพียงแค่สิบสี่สิบห้าบวกกับหน้าตาและนิสัยที่ดูไม่น่าจะขยันทำงานได้ แต่เขาก็ทำงานได้ดีกว่าที่เห็นมากนัก เขากลายเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารเล็กๆที่มิโคโตะทำอยู่ ตัวเขาได้รับความเอ็นดูทั้งจากเจ้าของร้านและลูกค้ามากมาย แม้ว่าในความเป็นจริงเขาจะแก่กว่าคนเหล่านี้หลายช่วงชีวิตได้ แต่ด้วยรูปร่างที่เป็นเด็กและทักษะการพูดจาที่ทำให้คนถูกอกถูกใจที่ติดตัวเป็นทุนเดิม ทำให้เจ้าของร้านจ้างเขาไว้ในฐานะลูกจ้างคนหนึ่งซึ่งทำให้แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของมิโคโตะได้พอสมควร จึงทำให้เธอไม่ต้องโหมงานหนักเหมือนแต่ก่อน เพราะถึงจะมีปากท้องเพิ่มขึ้นมาในบ้าน แต่อีกคนก็มีจิตสำนึกที่จะแบ่งเบาภาระ ไม่เหมือนชายที่ไม่เคยกลับบ้านแต่กลับต้องทำเหมือนว่าเขาอยู่ในบ้านทุกวัน อีกทั้งวันดีคืนดีจยังจะมาเอาเงินที่ภรรยาสาวอุตส่าห์ทำงานอย่างยากเย็นไปเที่ยวเตร่เอาเงินไปเททิ้งกับสุรานารี แต่เพราะการเข้ามาของฮิโระอาคิทำให้มิโคโตะสามารถผ่อนความรู้สึกน้อยใจในตัวสามีลึกๆของเธอลงได้ เธอไม่ได้สนใจว่าสามีจะกลับมาไหมเหมือนแต่ก่อน ถึงแม่ว่าจะยังทำอาหารเกินไว้หนึ่งที่เสมอในทุกๆมื้อ แต่ก็ทำไปเพียงเพราะเป็นหน้าที่เท่านั้น ไม่ใช่การรอคอยอีกต่อไป
สามีของมิโกโตะรับรู้แล้วว่าเธอได้รับลูกบุญธรรมเข้ามา แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจมากนักซึ่งก็ไม่ได้กระทบกระเทือนจิตใจของฮิโระอาคิแต่อย่างใด เพราะเขาก็ไม่สนใจเรื่องของพ่อบุญธรรมของเขาเท่าไหร่ เอาจริงๆแล้วเขานับแค่ว่ามิโคโตะคือแม่ ส่วนผู้ชายคนนั้นก็แค่คนที่มากินข้าวยามถังแตกเท่านั้น
ไม่ใช่เพียงแค่ฮิโระอาคิเท่านั้นที่เป็นโยวไคในหมู่บ้านแห่งนี้
ตั้งแต่มิโคโตะพาฮิโระอาคิมาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ เธอได้พาฮิโระอาคิไปทำความรู้จักกับเด็กหญิงที่ทุกคนเชื่อกันว่าเป็นลูกสาวของเจ้าของร้านเหล้า
แต่ทว่าแว่บแรกที่ได้พบกันฮิโระอาคิก็สัมผัสได้เลยว่าเธอไม่ใช่เด็กหญิงธรรมดาเหมือนที่ทุกคนเข้าใจ เธอเป็นเนโกะมาตะ เมื่อพิจารณาแล้วก็ดูอายุยังไม่มากเท่ากับตนเอง พลังของนางยังดูมีไม่มากนัก แต่ไม่ต้องสงสัยว่าเจ้าหล่อนกำลังสูบพลังชีวิตของเจ้าของร้านมาใช้อยู่เป็นแน่
เด็กหญิงเนโกะมาตะนามว่า โอคิคุ
ภายนอกโอคิคุเป็นเด็กตัวเล็กๆรุ่นราวคราวเดียวกับฮิโระอาคิ มีผมสีขาวตาสีทองกับไฝที่ปาก ดูแว่บแรกถ้าหากมองเด็กสองคนนี้อยู่ด้วยกัน เผินๆอาจจะเหมือนพี่น้องกำลังเล่นกันอยู่ก็เป็นได้
มิโคโตะชอบพาฮิโระอาคิมาเล่นกับโอคิคุบ่อยๆ เพราะสองคนนี้ดูมีอะไรบางอย่างที่เข้ากันได้ อาจจะเป็นเซนส์ของเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าร่างจริงของโอคิคุคือสิ่งใดก็ตาม โอคิคุจึงกลายเป็นเพื่อนคนแรกของฮิโระอาคิในหมู่บ้านแห่งนี้
ด้วยความที่โอคิคุก็เป็นเด็กการที่ได้เจอโยวไคด้วยกันนั้นคงเป็นความรู้สึกที่วางใจเป็นพิเศษ เจ้าหล่อนจึงติดฮิโระอาคิเป็นอย่างมาก และด้วยความที่ฮิโระอาคิมักพูดจาเอาอกเอาใจผู้อื่นโดยที่ไม่รู้ตัว จึงทำให้โอคิคุติดฮิโระอาคิถึงขนาดที่บอกว่าอยากจะแต่งงานด้วยบ่อยๆ
“ถ้าข้าโตเป็นสาวแล้วข้าจะเป็นเจ้าสาวให้ท่าน”
“….ถ้าจะเป็นเจ้าสาวก็ต้องทำอาหารให้อร่อยได้”
“ข้าทำได้นะ ข้าเป็นถึงทายาทเจ้าของร้านเหล้าเลยนะ ถ้าเป็นพวกกับแกล้มล่ะก็ อร่อยแน่นอน!”
“ไม่มีใครเขากินกับแกล้มแทนอาหารมื้อหลักหรอกนะโอคิคุ”
“ท่านก็พูดมาตรงๆเลยเธอว่าอยากได้คนที่ทำอาหารได้เก่งๆแบบท่านมิโคโตะน่ะ”
“ถ้าแบบนั้นก็ไม่เสียหายนะ..”
“ท่านก็ติดท่านมิโคโตะเหลือเกินนะ หรือว่าข้าจะลองกัดกินชีวิตของท่านมิโคโตะดูบ้าง เผื่อท่านจะสนใจข้าบ้าง” โอคิคุทำเสียงงอนๆเล็กน้อย จริงๆเจตนาของเธอก็แค่หยอกเล่นให้อีกฝ่ายหัวเสียแล้วสนใจตัวเองบ้างเท่านั้น
“ถ้าเจ้าทำล่ะก็ข้าจะเผาเจ้า” ฮิโระอาคิพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ข้อแค่ล้อเล่นเองนะ”
“เจ้าไม่รู้หรอว่าล้อเล่นเรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะมันไม่น่ารักสำหรับเด็กผู้หญิง”
“ถ้าข้าไม่พูดแล้ว ไม่คิดแล้วข้าจะน่ารักในสายตาท่าใข่ไหม~”
“ข้าจะคิดตามที่เจ้าสบายใจแล้วกัน” เขาบอกปัดไปเพื่อให้เด็กสาวเลิกพูดอะไรที่ไม่เป็นมงคบแบบนั้นเสียที
“เพราะงี้ไงข้าถึงได้ชอบท่านมากๆ”
บทสนทนาเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยๆระหว่างทั้งคู่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ แต่ก็ยังคงจบด้วยการที่โอคิคุยังคงหลงในตัวฮิโระอาคิเสมอ
ถึงแม้ว่าจะดูเป็นความสัมพันธ์ประหลาดๆ แต่ก็เรียกได้ว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกันพอสมควร มีบ้างทีบางวันฮิโระอาคิเบื่อๆก็ไปร้านเหล้าของเจ้านายโอคิคุเพื่อไปคุยแก้เบื่อบ่อยๆ
โอคิคุก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ทำให้ชีวิตของฮิโระอาคิค่อนข้างมีสีสันมากขึ้นและรู้จักสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์ขันมากขึ้นเช่นกัน
ชีวิตที่ดูเหมือนจะดำเนินไปอย่างเรียบง่าย แสนธรรมดาและมีความสุขของแม่บ้านและลูกบุญธรรมของหล่อนก็ต้องชะงักลงเมื่อสามีตัวดีของเธอเกิดก่อเรื่องทำให้ถูกเจ้านายเฉดหัวออกมา ทำให้กลายเป็นซามูไรหางแถวผู้ตกงานแทน แต่นิสัยที่ไม่เคยเจียมตัวของเขาก็ไม่จบลงเหมือนหน้าที่การงาน เขายังคงเอาเงินที่พอมีอยู่ของเขาไปเที่ยวเตร่ เอาเงินไปทิ้งกับทั้งการพนัน เหล้าสุราและเอาใจเหล่าสตรีทั้งหลายจนหมดสิ้น แต่แค่เงินของตัวเขาหมดก็ยังไม่สาแก่ใจ ยามทุกข์ร้อนแบบนี้ คนที่จะต้องมาร่วมทุกกับเขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกเสียจาก มิโคโตะภรรยาของเขา
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมถึงค่าเหล้าของสามีตกเป็นภาระของมิโคโตะทั้งหมด ถึงแม้ว่าฮิโระอาคิดจะบอกว่าเอาเงินของตนไปด้วยก็ได้ แต่มิโคโตะก็ไม่ยอม
เมื่อไม่มีเงินจะเที่ยวเตร่บ้านของเขาก็กลายเป็นรังรักที่ควงผู้หญิงมาไม่ซ้ำหน้า ไม่มีการเห็นหัวภรรยาใดๆทั้งสิ้น
ถึงแม้ว่าเธอจะค่อนข้างปลงกับเรื่องนี้ แต่ต้องไม่ใช่ที่นี่ แต่ด้วยความที่เธอไม่อาจจะมีปากเสียงกับสามีได้ เธอจึงทำได้แค่เก็บความรู้สึกอัดอั้นเอาไว้เท่านั้น
จากที่เคยเป็นผู้หญิงที่คิดบวกมาตลอด มิโคโตะที่ต้องโหมงานมากขึ้น บวกกับการกระทำที่น่ารังเกียจของสามีทำให้สภาพจิตใจของเธอเริ่มย่ำแย่ลง
ทุกครั้งก่อนเริ่มทำอาหารเธอจะนั่งร้องไห้กับตัวเอง ทำไมชีวิตของถึงต้องมาพบอะไรแบบนี้ ห้องครัวจึงกลายเป็นสถานที่ระเบิดอารมณ์ของเธอ เธอไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาในห้องครัวขณะที่เธออยู่ในนั้น เพราะเธอไม่อยากให้ใครมาเห็นสภาพที่น่าอดสูของตัวเอง
จากอาหารที่ต้องทำสามชุด กลายเป็นสี่ชุด ช่วงเวลามื้ออาหารที่มีความสุขไม่มีอีกต่อไป เหลือแต่ความอัดอั้นตันใจ
สภาพของมิโคโตะในตอนนี้มองแล้วช่างบีบคั้นหัวใจเหลือเกิน
โฮโระอาคิที่ปกติไม่ค่อยจะยินดียินร้ายกับอะไรเท่าไรนัก แต่เมื่อเห็นสภาพของคนที่เขามองว่าเป็นแม่กลายเป็นแบบนี้ก็เกินกว่าจะทนอยู่เฉยๆได้เหมือนกัน
“ท่านซามูไร ทำเช่นนี้จะไม่เกินไปหรือ”
“เกินไป มีอะไรที่เกินไป นี่บ้านของข้าง ทั้งเจ้าและผู้หญิงคนนนั้นก็เป็นเพียงผู้อาศัย ข้าจะทำอะไรก็เป็นสิทธิ์ของข้า”
“แต่..”
“ถ้าเจ้าไม่พอใจข้าจะไปก็ได้ ข้าก็ไม่อยากอยู่ในบ้านที่มีแต่ผู้หญิงน่าเบื่อกับเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าเท่าไหร่นัก”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็เก็บของแล้วออกจากบ้านไป ราวกับเตรียมตัวไวแล้วเพียงแค่รอใครสักคนแสดงความไม่พอใจ เพื่อหาข้ออ้างว่าตัวเองโดนเฉดหัวออกมาเท่านั้นเอง
“..”
ฮิโระอาคิไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาของเขาจากที่ดูเฉยเมยไม่สนอะไรกลับแฝงไปด้วยความอาฆาตในแววตา
เขาไม่ได้รั้งชายผู้นั้นไว้ ดีเสียอีกที่ไป อย่างน้อยจะได้อยู่กันอย่างปกติสุขเสียที
ถึงกระนั้นเหมือนว่าแค่การจากไปของสามีของมิโคตะในครั้งนี้ไม่ได้ทำให้สภาพจิตใจของเธอดีขึ้นเท่าไหร่นัก
เธอยังคงแอบไปร้องไห้เงียบๆคนเดียวทุกวัน และเธอยังคงทำอาหารสี่ที่เตรียมไว้ทุกมื้อ หลังจากที่สามีของเธอออกจากบ้านไปก็มีบางอย่างที่เริ่มเปลี่ยนไป
อาหารสามชุดที่มิโคโตะทำจะเหมือนกันทั้งสามชุด ยกเว้นชุดที่สี่ที่เธอทำให้ฮิโระอาคิซึ่งจะไม่เหมือนกับสามชุดที่เหลือ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร วัตถุดิบที่ใช้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสามชุดแต่เหลือ และก็เปลี่ยนไปในๆทุกๆมื้อไม่ได้จำเจอะไร ในตอนแรกก็ออกจะดูแปลกไปสักหน่อย เพราะที่ผ่านมาก็ทำเหมือนๆกันมาตลอด ถ้าพิจารณาตามนิสัยของมิโคโตะที่มักใส่ใจผู้อื่นก็คิดได้ว่า ฮิโระอาคิดูอยู่ในวัยกำลังโตเลยอยากให้กินอะไรที่พิเศษกว่าก็เป็นได้
แต่มีอย่างหนึ่งที่ฮิโระอาคิสังเกตได้ก็คือ อาหารทั้งสามชุดที่เหมือนกันนั้นจะมีกลิ่นที่แปลกไป เขาเคยลองปริปากถามมิโคโตะแต่ก็ได้คำตอบเพียงว่าช่วงนี้จมูกไม่ค่อยดีเลยอาจจะใส่เครื่องเทศผิดไปหน่อย ซึ่งพอประกอบกับการที่มิโคโตะซึมเศร้าและอาหารของฮิโระอาคิที่เปลี่ยนเป็นเมนูที่มีเครื่องเทศน้อยลง ทุกอย่างก็ดูจะพอดีกันจนไม่สงสัยอะไรอะไรต่อ
เรื่องราวดำเนินต่อไปราวกับสามีของมิโคโตะไม่เคยมีตัวตนหลงเหลือไว้แต่ความเจ็บช้ำที่ทิ้งไว้ให้เธอจมกับความเศร้า
แม้ว่าจะไม่ต้องแบกรับภาระค่าเหล้าที่ต้องจ่ายให้สามี แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆก็ยังมีเหมือนเดิม ดังนั้นเธอยังคงต้องทำงานอยู่ทั้งๆที่สภาพจิตใจแย่ลงเรื่อยๆตามอายุที่เพิ่มขึ้นของเธอ
ฮิโระอาคิก็ยังคงช่วยงานเธอเหมือนอย่างที่เคยเป็น ถึงแม้ว่าสภาพจิตใจเธอจะยังไม่ดีขึ้น แต่ก็วางใจได้ประการหนึ่งก็คือจะไม่มีอะไรที่ทำให้เธอเสียใจเพิ่มขึ้นอีก ตอนนี้สิ่งที่ทำได้ก็คิดทำให้เธอกลับมาเป็นผู้หญิงร่าเริงอีกครั้งหนึ่ง แต่ฮิโระอาคิก็คือฮิโระอาคิ เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์ของผู้หญิงและไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร หลายครั้งเลยต้องไปปรึกษาโอคิคุว่าจะทำอย่างไร ซึ่งก็โดนน้อยใจกลับมาบ่อยๆ แต่ก็ได้รับคำแนะนำดีๆกลับมาหลายอย่างเช่นกัน
เวลาผ่านไปทุกอย่างเหมือนจะปกติสุข มีบ้างทีมิโคโตะจะหลบไปร้องไห้คนเดียวเหมือนแต่ก่อน แต่ก็น้อยลงมาก เวลาคงเป็นสิ่งเดียวที่สามารถเยียวยาเธอได้ แต่ก็ไม่มีอะไรแน่นอนความสุขที่เหมือนจะกลับมาก็ระเห็ดหายไปอีกครั้ง เมื่อมิโคโตะค่อยๆล้มป่วยลง จากที่ตอนแรกแค่ดูเล็กน้อย แต่ก็หนักขึ้นเรื่อยๆจนถึงขั้นไม่สามารถออกไปทำงานได้
ชีวิตที่เหมือนจะดีของทั้งคู่กลับโดนพังด้วยผู้ชายไม่ได้ความเพียงคนเดียว ฮิโระอาคิก็ไม่ได้อยากแบกหน้าไปสนทนากับคนที่รู้ทั้งรู้ว่าจะไ่ม่รับฟังใครอย่างสามีของมิโคโตะ แต่เขาก็สงสารเธอเหลือเกินที่จะต้องตายไปพร้อมกับบาดแผลในใจเช่นนี้ อย่างนั้นแค่ให้ผู้ชายคนนี้โผล่หน้าไปแสดงความเป็นห่วงได้บ้างก็ยังดี
“ในที่สุดเจอตัวท่านจนได้.. อย่างน้อยท่านก็ไปแสดงความเห็นใจต่อนางเป็นครั้งสุดท้ายก่อนนางจะตาย…”
“โอ้ โตขึ้นเยอะเลยนี่ แบบนี้ก็เตรียมเสียบเป็นสามีคนใหม่ให้นางผู้หญิงคนนั้นได้แล้วล่ะสิ จะเอาไปเลยก็ได้นะ”
“…เลิกพูดจาสกปรกกับมิโคโตะได้แล้ว ท่านซามูไรโสโครก” ฮิโระเสียงแข็งขึ้น
“ถ้าเจ้ามาเพื่อต่อว่าข้าแบบนี้ก็กลับไปซะ พวกเจ้าเป็นคนไล่ข้าออกมาแท้ๆ การไปนั่งทนกินข้าวในที่อุดอู้ก็ทรมานอย่างกับใส่ยาพิษ เป็นห่วงเป็นใยกันเสียเหลือเกินนะ ดูก็รู้ว่านังผู้หญิงนั่นรับเจ้ามาเลี้ยงจะจับทำชู้ล่ะสิ ไม่ได้เต็มใจแต่งกับซามูไรแก่ๆอย่างข้าแต่แรกอยู่แล้วนี่”
“ท่านนี่มันสกปรกทั้งข้างในทั้งข้างนอกเลยนะ ข้าคงคิดผิดจริงๆที่คิดว่าท่านยังไม่จิตใจอยู่บ้าง ขืนข้าพาท่านกลับไปคงมีแต่จะทำให้เรื่องแย่ลง ขอตัว”
พูดจบฮิโระอาคิก็รีบเดินออกมาโดยไม่รอฟังคำตอบของอีกฝ่าย เขากลัวว่าตัวเองจะโกรธจนไม่สามารถควบคุมพลังตัวเองไว้ไม่ได้เมื่อสนทนากับผู้ชายผู้นั้น หากเขาทำอะไรโผงผางไปมีแต่จะทำให้มิโคโตะเดือดร้อน
แต่คำพูดของชายผู้นั้นก็ทำให้ฮิโระอาคิคิดอะไรขึ้นมาได้
“ยาพิษ”
ภาพในอดีตค่อยๆปรากฎ ปะติดปะต่อเป็นเรื่องราวในหัวของฮิโระอาคิ
มิโคโตะเป็นผู้หญิงแข็งแรงมาโดยตลอด ไม่มีโรคประจำตัว ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะแก่ขึ้นตามกาลเวลา แต่ก็ไม่เคยมีสัญญาณเตือนใดๆก่อนหน้าที่สามีของเธอจะออกจากบ้านไป
“อาหารของท่านมีกลิ่นแปลกๆนะ”
คำถามที่เขาเคยถามกับมิโคโตะตอนที่เธอเริ่มทำอาหารสามชุดเหมือนๆกันโดยแยกชุดที่สี่ของฮิโระอาคิออกมาผุดขึ้นมาในหัว
ทำไมเขาถึงไม่ยอมสงสัยนะ
เพราะว่าไว้ใจที่ปกติมิโคโตะมักจะไม่โกหก เรื่องเดียวที่เธอโกหกกับชาวบ้านคือเรื่องความลับจิ้งจอกของตัวเขา
ก่อนจะรู้สึกตัวก็สายเกินไปแล้ว นับจากนี้มิโคโตะคงอยู่ต่อได้ไม่นานนัก ทั้งๆที่เธอพึ่งจะอายุแค่ 40กว่าปี เธอควรจะมีอายุยืนยาวกว่านี้ด้วยซ้ำ ทั้งแค้นเจ้าซามูไรเดนตายนั้น แต่อีกใจก็แค้นตัวเองที่โง่เสียเหลือเกิน
สิ่งสุดท้ายที่ฮิโระอาคิพอจะทำได้ตอนนี้ก็เพียงแค่ไม่ให้เธอจากไปอย่างโดดเดี่ยว เขาอยากจะเป็นจิ้งจอกที่มีพลังมากกว่านี้ในตอนนี้เสียเหลือเกิน อย่างน้อยก็อาจจะมีพลังที่ช่วยยื้อชีวิตเธอได้บ้าง
งานศพของมิโคโตะถูกจัดอย่างเล็กๆเงียบๆที่บ้าน
ส่วนหลุมศพของเธอถูกตั้งไว้ในป่าถัดจากหลังบ้านไปไม่ไกลนัก
บ้านของเธอกลายเป็นบ้านที่ไม่มีผู้อยู่อาศัยโดยสมบูรณ์
ไม่มีคนคอยทำความสะอาด
ไม่มีคนคอยตกแต่งสวน
บรรยากาศว่างเปล่านี้ไม่ใช่บ้านที่รอให้ผู้พักอาศัยกลับเข้ามาเหมือนเคย
แต่เหมือนกับบ้านร้างเสียมากกว่า
ฮิโระอาคิไม่ได้กลับไปที่บ้านหลังนั้นอีก เขาไม่ได้สนใจเรื่องที่พักอาศัยนัก จริงๆที่เขาไปอยู่ที่นั้นเพราะมีมิโคโตะ เมื่อไม่มีเธอจึงไม่มีความจำเป็นต้องไปอยู่ในที่ของคนอื่นอีกต่อไป
หลังจากที่มิโคโตะเสียชีวิตไปไม่สัปดาห์ ชีวิตของคนในระแวกนั้นก็ดำเนินไปอย่างปกติ ถึงแม้ว่าจะได้รับความเอ็นดู แต่เธอก็ไม่ใช่ญาติมิตรจึงไม่จำเป็นต้องอาลัยอาวรนานมากนัก ประกอบกับบ้านของเธอก็แยกออกมาจากหมู่บ้านเป็นระยะทางหนึ่ง ทำให้ไม่มีใครสนใจจะไปเยี่ยมหลุมศพมากนัก มีเพียงแต่ฮิโระอาคิที่ไม่ได้คงร่างมนุษย์อีกต่อไปคอยเฝ้าหลุมศพอยู่ไม่ห่าง ตอนนี้ชีวิตของเขากลับมาว่างเปล่าเหมือนอดีตอีกครั้ง ชีวิตไม่มีเป้าหมาย ไม่มีกะจิตกะใจแม้แต่จะแค้นสามีของมิโคโตะ เขาในตอนนี้เดนตายเสียยิ่งกว่าซากศพเสียอีก สิ่งที่เขายังมีอยู่ในตอนนี้คือเงินเก็บที่มิโคโตะไม่ยอมให้เขาช่วยจ่ายภาระของครอบครัวและมรดกนิดๆหน่อยๆที่มิโคโตะทิ้งไว้ให้ ทั้งหมดก็พอประทังชีวิตแค่กินอาหารเล็กๆน้อยๆได้โดยไม่ต้องทำอะไรราวๆครึ่งปี ซึ่งของแบบนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาอยู่แล้ว อาหารบางอย่างหาได้โดยไม่ต้องใช้เงินด้วยซ้ำ
เขาใช้ชีวิตอย่างไร้เป้าหมายเฝ้าหลุมศพไปวันๆนานกว่าครึ่งปี แต่ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานั้นเขาไม่ได้อยู่คนเดียวตลอดเวลา ผู้หญิงที่เขาคุ้นเคยคอยมาเยี่ยมเขาเป็นประจำ อย่างน้อยสองสามวันครั้ง บางทีก็นำอาหารมาให้ คอยพูดคุยไม่ให้เขามีสภาพเหมือนซากศพไปมากกว่านี้ เพราะเธอก็ทนมองคนที่เธอคลั่งไคล้กลายสภาพเป็นแบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน
จนกระทั่งครบครึ่งปีการจากไปของมิโคโตะ เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้ง
โอคิคุเนโกะมาตะสาวที่เป็นเพื่อนตั้งแต่ยังใช้รูปร่างเด็กของฮิโระอาคิมาเยี่ยมเขาอีกครั้งเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็เยอะเกินกว่าจะนับได้ในรอบครึ่งปี
แต่ฮิโระอาคิก็ไม่เคยสนใจโอคิคุในช่วงนั้นเลย เขาทำแค่ขอบคุณของที่ให้ตามมารยาทแล้วบรรยากาศทุกอย่างก็ปกคลุมไปด้วยความเงียบอีกครั้ง บทสนทนาทุกครั้งเหมือนโอคิคุจะพูดอยู่คนเดียวเสียมากกว่า
เพี๊ยะ
เสียงตบดังฝ่าบรรยากาศที่เงียบสงบของป่าระแวกนั้น
“ข้าชักหมดความอดทนกับท่านแล้วนะ”
เจ้าของเสียงตบพูดขึ้นหลังจากตบอีกฝ่ายจนหน้าเป็นรอยเล็บ ราวกับรอยเล็บของแมวที่ข่วนหน้าเสียมากกว่ารอยตบ
“ถึงพลังของข้าจะทำให้ศพคืนชีพขึ้นมาได้ แต่ข้าไม่อยากแต่งานกับศพ หรอกนะ หรือว่าท่านอยากให้ข้าปลุกนางขึ้นมา ศพอย่างท่านจะได้อยู่กับนางอีกครั้งไง ร่างที่มีแต่เปลือกน่ะ”
“ เสียเวลาทำการทำงานเสียจริงที่ต้องคอยมาสนทนากับศพอย่างท่านทุกวันแบบนี้ ข้าหมดรักท่านแล้ว ข้าขอตัว ท่านคงสบายใจที่ไม่ต้องมีคนมายุ่มยามกับท่านอีก เก็บหูกับหางของท่านไว้ให้ดีแล้วกัน ถ้ามีใครรู้เข้าท่านนั่นแหละที่จะเดือดร้อน”
เสียงของเธอเต็มไปด้วยความหงุดหงิดแต่ถ้าฟังดีๆก็จะรู้เลยว่าเธอเป็นห่วงอีกฝ่ายแค่ไหน
“งาน?”
ฮิโระอาคิตอบสั้นๆ อย่างน้อยตอนนี้คำพูดของโอคิคุก็ไปกระทบโสตประสาทของเขาบ้างเสียที
“แน่สิข้าทำงานไม่งั้นจะเอาเงินที่หามาหาข้าวหาน้ำให้ท่านกิน หาชุดใหม่มาให้ท่านเปลี่ยน ไม่งั้นท่านคงได้เป็นศพไปจริงๆแล้วล่ะ”
เธอตอบแบบปกติ แต่ก็คิดในใจว่าน่าจะรีบตบๆไปตั้งแต่เดือนแรกจะได้ไม่ต้องมาเปลืองน้ำลายพูดอะไรให้ยืดยาวตั้งครึ่งปี
“ร้านเหล้าของเจ้านายเจ้า?”
“ใช่ หรือว่าท่านอยากจะมาทำ เงินเดือนไม่เยอะหรอกนะเพราะข้าพึ่งจ้างสาวเสิร์ฟมาเพิ่ม และก็ท่านเป็นผู้ชายต้องอยู่หลังร้านนะ”
เธอสังเกตเห็นว่าเขาดูมีความสนใจกับคำว่างานจึงยื่นขอเสนอหว่านๆไปหวังว่าเขาจะหลุดออกจากห้วงความทุกข์นี้ได้เสียที
“ได้”
เขาตอบเพียงสั้นๆด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ในแววตาของเขาแฝงไปด้วยนัยบางอย่างที่ไม่มีใครคาดเดาได้
—-
จบบท
เรื่องราวที่ไม่อยากนึกถึง บทที่2